Wednesday, January 2, 2013

ผลกระทบนโยบายรถคันแรกกับหุ้นและการลงทุนใน 1-3 ปีข้างหน้า

ในปีที่แล้ว (2012) สิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อว่าหลายๆคนต้องได้สัมผัสคือปรากฏการณ์ลดภาษีรถคันแรก ไม่ว่าจะได้ใช้เองหรือมีคนรอบข้างที่รู้จักได้ใช้ ต้องยอมรับว่าเป็นกระแสที่มาแรงจริงๆซึ่งก็
เห็นได้จากสถิติจำนวนรถป้ายแดงที่ออกมาใหม่ ผมเลยอยากลองมาคิดวิเคราะห์เล่นๆว่ามันจะมีผลกระทบต่อเศษฐกิจและการลงทุนอย่างไรบ้างใน 1-3 ปีข้างหน้า วิเคราะห์กันแบบขำๆนะครับ :)

ข้อแรก...มาม่าน่าจะขายดีในอนาคตอันใกล้ ถ้าลองคิดถึงนิสัยการใช้เงินของคนส่วนใหญ่แล้วผมว่าข้อนี้ไม่น่าแปลกใจเลย ด้วยความ "อยาก" หลายคนใช้เงิน 100% ของที่มี (และอีกหลายคนใช้มากกว่า 100% ด้วยซ้ำ) ถ้าตามภาษานักลงทุนต้องเรียกว่าไม่มี margin of safety เลย ถ้าคิดว่าตัวเองมีกำลังผ่อนได้เดือนละ 10,000 บาทจะซื้อรถที่ต้องผ่อน 10,000-13,000 บาท โดยคิด(ฝัน)เอาเองว่าเดี๋ยวค่อยไปประหยัดตรงนั้นตรงนี้เอาหรือเดี๋ยวค่อยหาเงินเพิ่มจากตรงนู้น นี่ยังไม่นับว่าถ้าเกิดมีเหตุฉุกเฉินต้องใช้เงินอย่างไม่สบายหรือตกงานอีกนะครับ ปรกติก็ใช้เงิน to the max อยู่แล้วนี่ยิ่งมีการกระตุ้นว่า "ถ้าไม่รีบซื้อปีนี้ไม่ได้ลดราคาแล้วนะ" ผมจึงคิดว่าสุขภาพการเงินของหลายๆคนที่ใช้สิทธิ์ไปไม่น่าจะสู้ดีนัก เรียกว่าต้องผ่อนกันแบบหืดขึ้นคอเลยทีเดียว

ด้วยเหตุผลเดียวกันกับข้างบน บริษัทที่ทำเรื่องสินเชื่อรถอาจต้องระวัง เพราะจำนวนหนี้ศูนย์อาจจะสูงขึ้นกว่าปรกติ นอกจากนี้เนื่องจากคนขยับมาซื้อรถในปี 2012 เป็นจำนวนมาก demand สินเชื่อเพื่อซื้อรถใหม่ในปีต่อๆไปอาจลดลงพอสมควร

บ้านและรถเป็นทรัพย์สินที่คนที่พึ่งเริ่มก่อร่างสร้างตัวต้องการ คนที่ใช้สิทธิ์รถคันแรกส่วนใหญ่ผมเชื่อว่าจัดอยู่ในกลุ่มคนพึ่งเริ่มทำงานที่ยังไม่มีทั้งบ้านทั้งรถ ส่วนใหญ่ถ้าไม่ได้เช่าบ้านอยู่ก็ยังอยู่กับคุณพ่อหรือคุณแม่ ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้ไม่มีกำลังพอที่จะดาวน์ทั้งบ้านและรถในเวลาใกล้ๆกัน ส่วนใหญ่ก็คงเลือกที่จะซื้อรถก่อนเพื่อที่จะให้ได้สิทธิ์ เพราะฉะนั้นอาจจะทำให้มีผลกระทบกับ demand สำหรับบ้านหรือ Condo ราคาถูกที่เน้นกลุ่มลูกค้าบ้านหลังแรกได้ในอนาคตอันใกล้

คนใช้ทางด่วนกันมากขึ้น นอกจากฐานลูกค้า (จำนวนรถบนท้องถนน) จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดแล้ว รถที่เพิ่มขึ้นก็น่าจะทำให้รถติดมากขึ้นไปอีก เพราะฉะนั้นสัดส่วนของคนที่ยอมจ่ายเงินเพื่อใช้ทางด่วนก็น่าจะเพิ่มขึ้นด้วย

จำนวนคนฟังวิทยุน่าจะเพิ่มขึ้น สิ่งแรกที่ทุกคนทำเมื่อขึ้นรถมีสองอย่างก็คือเปิดแอร์กับเปิดวิทยุ ช่วงเวลา rush hour ตอนเช้ากับตอนเย็นจึงถือว่าเป็นช่วง prime time เลยทีเดียว ยิ่งตอนนี้รถน่าจะติดมากขึ้นทำให้นอกจากคนจะฟังวิทยุกันมากขึ้นแล้วยังต้องฟังนานขึ้นอีกด้วย แหม่ได้สองต่อจริงๆ

ที่ผมคิดได้คร่าวๆตอนนี้มีแค่นี้ครับ คนอื่นคิดยังไงกันบ้างเอามาแชร์กันได้เลยนะครับ

2 comments:

  1. ชอบแนวทางการวิเคราะห์มากเลยค่ะ ความเป็นไปได้ของเม่าที่มองหาหุ้นพื้นฐานดีๆสักตัวกับสภาพจริงของตลาดภายในประเทศ เขียนดีค่ะ เด๋วไว้มาติดตามเลยๆ ^^ ขอบคุณมากค่ะ

    ReplyDelete
    Replies
    1. ขอบคุณมากครับ ขอให้ลงทุนอย่างมีความสุขนะครับ

      Delete