Saturday, October 13, 2012

ซื้อหุ้นนักร้องต้องติดตามผลงาน

ทุกคนอาจสงสัยว่า "หุ้นนักร้อง" นั้นคืออะไร เป็นบริษัทเพลงเหรอ? จริงๆแล้วมันเป็นแค่ชื่อที่ผมใช้เรียกเล่นๆสำหรับบริษัทที่ผมรู้สึกว่าวงจรของธุรกิจนั้นคล้ายกับวงจรชีวิตของนักร้องหรือวงดนตรีมาก โดยรายได้ของบริษัทที่ว่าเหล่านี้ขึ้นอยู่กับความสำเร็จของ product ที่ต้องออกมาใหม่เรื่อยๆอย่างมาก

ถ้าเราลองดูอาชีพของนักร้องจะเห็นได้ว่าความดังและยอดขายนั้นขึ้นอยู่กับเพลงที่ออกมา โดยที่นักร้องต้องคอยออกเพลงใหม่ๆมาตลอด โดยเพลงที่ออกมาน่าจะแบ่งออกได้เป็นสามแบบ

1. อย่างแรกคือเพลงที่ hit สุดๆ ทำให้นักร้องดังระเบิด ขายดีแบบรายได้พุ่งกระฉูด เปิดวิทยุช่องไหนก็ได้ยินแต่เพลงนี้

2. แบบที่สองเป็น filler เพลงที่เพราะใช้ได้หรืออาจจะไม่แปลกใหม่จากเพลงก่อนๆเท่าไหร่ แต่ที่ขายดีใช้ได้ก็เพราะอาศัยความดังจากเพลงแรก เพลงแบบนี้พอทำให้นักร้องอยู่ในกระแสต่อไปได้จนกว่าจะทำเพลง hit อันต่อไปได้ แต่ถ้ายิ่งออกแต่ filler ติดต่อกันมากเท่าไหร่ความดังและยอดขายก็จะลดลงเรื่อยๆจนหายดังไปในที่สุด

3. แบบสุดท้ายพูดง่ายๆก็คือเพลงแป้กไม่มีใครชอบเลย แน่นอนอันนี้ย่อมมีผลกระทบกับยอดขายและความดังอย่างมาก ถ้าออกมาตอนยังดังมากอยู่ก็อาจจะพอแก้ใขได้โดยการรีบออกเพลงที่ดีกว่านี้ตามมา แต่ถ้าออกเพลงแป้กมาสองอันติดกันก็อาจจะเปลี่ยนจากดังสุดๆเป็นไม่มีใครรู้จักเลยได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน

ผมคิดว่าถ้าจะลองยกตัวอย่าง Apple ถือได้ว่าเป็นบริษัทหนึ่งที่อยู่ในประเภทนี้ ยอดขายและรายได้หลักของ Apple นั้นขึ้นอยู่กับความสำเร็จของ Product ที่ต้องออก Product ที่ดีออกมาเรื่อยๆ เพราะสินค้าแต่ละอย่างของ Apple นั้นแทบจะทั้งหมดเป็นแบบซื้อครั้งเดียวแล้วจบกัน ครั้งต่อไปที่คนจะซื้อนั้นก็คงเป็นตอนที่เขาต้องการจะ upgrade ซึ่งตอนนั้นเขาก็สามารถเลือกใหม่ได้ว่าของๆบริษัทไหนดีที่สุด แน่นอนการที่ Apple เคยออก Product ดีมากๆในอดีตมาย่อมสร้างใบบุญให้คนมีโอกาสเลือกสินค้าของเขามากขึ้น แต่มันก็มี limit ของมันอยู่

ในความรู้สึกผมการกลับมายิ่งใหญ่ของ Apple ในรอบสิบปีหลังเขาได้ออกเพลง hit มาสองเพลง อันแรกก็คือ iPod และอันที่สองก็คือ iPhone ทั้งสองล้วนเป็น Product ที่ตอนออกมานั้นต้องนับว่าเป็น game changer จริงๆ เรียกได้ว่าถ้าคุณต้องการ mp3 player หรือ โทรศัพท์แบบนี้คุณก็ไม่มีตัวเลือกอื่นเลย แน่นอนมันจึงทำให้ยอดขายและรายได้ของ Apple เพิ่มขึ้นอย่างมากในเวลาอันรวดเร็วตอนที่สินค้าสองตัวนี้ออกมา

แน่นอนหลังจากสินค้าสองตัวนี้ออกมา Apple ก็ได้ออก version ใหม่มาเรื่อยๆโดยค่อยๆ upgrade ความสามารถและ design ทีละน้อย สำหรับผมแล้ว version ใหม่ๆเหล่านี้เปรียบเป็นแค่เพียงเพลง filler เท่านั้น ที่ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่หรือดีขึ้นมากแต่ก็ขายได้เพราะ Concept ของมันวางมาดีตั้งแต่ตอนมันออกมาครั้งแรกแล้ว แต่ยิ่งเวลาผ่านไปนานมากเท่าไหร่คู่แข่งต่างๆก็ยิ่งทำ Product ที่ดีใกล้เคียงกับของ Apple ได้มากขึ้น และไม่ช้าก็เร็วถ้า Apple ยังไม่มี Game Changer อันใหม่ของตัวเองออกมาคนอื่นก็ต้องมี Game Changer ของเขา ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นยอดขายที่เราเห็นว่าเยอะอยู่ตอนนี้อาจหายไปได้เกือบทั้งหมดในเวลาอันรวดเร็ว

จริงๆผมรู้สึกว่าการลงทุนในบริษัทที่ชีวิตแขวนอยู่บนความสำเร็จของ Product Line เดียวหรือสองสาม Line นั้นก็เป็นทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวมันเอง ข้อดีก็คือเราอาจจะมองภาพว่ากิจการจะดีหรือไม่ดีได้ง่ายหน่อย เราแค่เทียบสินค้าหลักของบริษัทนั้นแล้วเทียบกับคู่แข่งในตลาดซึ่งมันเป็นอะไรที่ทุกคนน่าจะทำได้ไม่ยาก ถ้าเรารู้สึกว่า Product ของบริษัทนี้มันดีกว่าของคนอื่นๆมากๆ ราคาก็สมเหตุสมผล ทุกคนที่เรารู้จักซื้อมาใช้หรืออยากได้หมดเลย เราก็น่าจะรู้แล้วหล่ะว่าอนาคตบริษัทนี้น่าจะสดใส

ข้อเสียก็คือเราอาจจะต้องคอยติดตามและคอยลุ้นทุกๆครั้งที่บริษัทเราหรือคู่แข่งทำ Product อันใหม่ออกมาว่ามันจะดีหรือไม่ดี แต่ที่ผมมั่นใจอย่างหนึ่งเลยก็คือไม่มีใครทำเพลง hit ออกมาได้ตลอดหรอก ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องมีเพลงที่ไม่ติดตลาด

เวลาพูดถึง Apple และผลกระทบจากการจากไปของ Steve Jobs คนส่วนใหญ่จะถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายแรกจะบอกว่า Steve ไม่อยู่แล้ว Apple แย่แน่เพราะจะขาดคนที่มีวิสัยทัศน์ในการทำ Product ใหม่ออกมา อีกฝ่ายคิดว่าไม่น่าจะมีผลมากเพราะยังมีคนที่มีวิสัยทัศน์เหลืออยู่ใน Apple อีกเยอะ แต่ผมกลับคิดอีกแบบหนึ่ง ผมคิดว่าการจากไปของ Steve Jobs ไม่มีผลมากเท่าไหร่เพราะต่อให้เขาอยู่ก็ไม่มีทางที่ Apple จะสามารถทำ Product ที่เป็น Game Changer ออกมาได้เรื่อยๆหรอก ไม่ช้าหรือเร็วก็ต้องมี Product ใหม่หรือรุ่นใหม่ที่ไม่โดนใจผู้บริโภคหรือไม่ก็ต้องมีบริษัทอื่นที่ทำ Product Line ใหม่อะไรซักอย่างออกมาที่ทำให้สินค้าหลักของ Apple ดูด้อยไป และแน่นอนเมื่อนั้นรายได้ของ Apple ต้องได้รับผลกระทบค่อนข้างหนักยิ่งถ้า Apple ยังพึ่งพา Product แค่หนึ่งหรือสองตัวอยู่ เมื่อถึงตอนนั้นนักลงทุนคงต้องตัดสินใจว่าจะถอนหุ้นออกมาก่อน หรือถือต่อไปเพราะเชื่อว่าบริษัทจะสามารถแก้เกมส์ได้ แต่ถ้าดูจากอดีตแล้วจะพบว่าหลายๆบริษัทที่เจออย่างนี้ไม่สามารถกลับมาได้หรือกว่าจะกลับมาได้ก็ใช้เวลาค่อนข้างนานมากๆเลยทีเดียวอย่างที่ Apple เองก็เคยเจอมาแล้ว





Friday, September 21, 2012

เมื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทที่เราลงทุนเป็นเจ้าของหุ้นในหลายบริษัทที่มีธุรกิจเกี่ยวข้องกัน ควรระวังเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนและความหัดแย้งทางผลประโยชน์

ปรกติเวลาที่เราลงทุนในหุ้นของบริษัทหนึ่ง เราก็ย่อมเชื่อว่าบรรดาเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทนั้นก็ต้องอยากให้กิจการดีและสร้างกำไรได้มากอย่างมั่นคงเพราะก็น่าจะดีกับทั้งเขาและเรา แต่ปัจจุบันความเป็นเจ้าของในหลายๆบริษัทค่อนข้างซับซ้อน บางกิจการได้มีการซอยย่อยออกมาเป็นหลายๆบริษัท บางบริษัทก็มีการตั้งบริษัทลูกออกมามากมาย บางอันอยู่ในตลาดบางอันก็ไม่ได้อยู่ และการถือหุ้นในแต่ละบริษัทบางทีก็สลับกันไปมา แล้วยิ่งหลายๆกิจการมีการทำธุรกิจร่วมกันหรือเกี่ยวข้องกันด้วยบางครั้งผลดำเนินการของบริษัทใดบริษัทหนึ่งที่ผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นเจ้าของอาจไม่สำคัญเท่ากับผลกำไรโดยรวมของเขา

ผมขอยกตัวอย่างมาบริษัทนึงที่ผมมีหุ้นอยู่(ตอนเขียนบทความนี้)แล้วกันนะครับ ซึ่งมีชื่อว่า CSC หรือ ฝาจีบ จำกัด ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเขาทำฝาจีบที่ใช้กับขวดน้ำอัดลมขวดเบียร์ แล้วก็เริ่มทำฝาอย่างอื่นที่ใช้กับขวดน้ำดื่มต่างๆด้วย เหตุผลคร่าวๆที่ผมลงทุนในบริษัทนี้ก็เพราะว่าจริงๆแล้วเมื่อปีที่แล้วผมสนใจธุรกิจที่เกี่ยวกับน้ำดื่มต่างๆเพราะผมเองก็ชอบดื่มอยู่บ่อยๆ หลังจากที่ดูธุรกิจขายน้ำต่างๆแล้ว ก็เลยเริ่มดูธุรกิจที่เกี่ยวข้องด้วย ซึ่งแน่นอนถ้าน้ำต่างๆขายดีฝาขวดน้ำก็น่าจะขายดีด้วย ก็เลยรู้สึกว่าตัวนี้น่าสนใจ


ถ้าลองเปิดดูรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่จะพบว่ามี

บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด 7.57%

บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด 7.25%

บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) 2.03%

บริษัท กรีนสปอต จำกัด 1.92%


พอเห็นว่ามีบริษัทขายน้ำถึงสี่ที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ ความคิดแรกของผมเลยก็คืออันนี้น่าจะเป็นข้อดีเพราว่ายังไงสี่บริษัทนี้ก็น่าจะมาซื้อฝาจากบริษัทฝาจีบ ซึ่งอันนี้ก็เป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่ผมตัดสินใจลงทุน

แต่ถ้ามองในอีกแง่หนึ่งก็อาจเป็นข้อเสียได้เหมือนกัน เพราะถ้าจะพูดกันจริงๆแล้วถ้าผมเป็นสี่บริษัทนี้ก็คงอยากให้ฝาจีบขายฝาให้ในราคาที่ถูกที่สุดจะเท่าทุนหรือขาดทุนยังได้เลยด้วยซ้ำ

กรณีที่ 1

สมมุติต้นทุนทำฝาหนึ่งฝาเท่ากับ 1 บาท ขายให้กับ ไทยน้ำทิพย์ ที่ราคา 2 บาท ฝาจีบได้กำไร 1 บาท

ไทยน้ำทิพย์มีต้นทุนน้ำหนึ่งขวด 4 บาท บวกกับค่าฝาอีก 2 บาท ขายน้ำราคา 10 บาท ไทยน้ำทิพย์ได้กำไร 4 บาท

แต่เนื่องจากไทยน้ำทิพย์มีหุ้นฝาจีบอยู่ 7.25% จึงได้ส่วนแบ่งกำไรมาด้วย 0.0725 บาท รวมเป็น 4.0725 บาท

กรณีที่ 2

สมมุติต้นทุนทำฝาหนึ่งฝาเท่ากับ 1 บาท เหมือนเดิม แต่ขายให้กับไทยน้ำทิพย์ ที่ราคาเท่าทุนที่ 1 บาท

ไทยน้ำทิพย์มีต้นทุนน้ำหนึ่งขวด 4 บาท บวกกับค่าฝาที่เหลือ 1 บาท ขายน้ำราคา 10 บาท ไทยน้ำทิพย์ได้กำไรเพิ่มขึ้นเป็น 5 บาท

จะเห็นได้ว่าในกรณีที่ 2 ฝาจีบได้กำไรน้อยลงแต่ไทยน้ำทิพย์ที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ได้กำไรมากขึ้น สึ่งกรณีนี้จะเหมือนกันสำหรับทั้ง 4 บริษัท ถ้ามองในแง่ร้ายสุดๆสี่บริษัทนี้อาจใช้บริษัทฝาจีบเป็นแค่โรงงานผลิตฝาราคาถูก แทนที่แต่ละบริษัทต้องลงทุนสร้างโรงงานเองก็แค่เข้ามาลงทุนในบริษัทคนละไม่กี่เปอร์เซ็นต์ พูดง่ายๆว่าผลประโยชน์ของผู้ลงทุนในหุ้นฝาจีบกับของสี่ผู้ถือหุ้นใหญ่นั้นสวนทางกัน ถึงแม้โดยรวมสี่บริษัทนี้จะมีหุ้นรวมกันแค่ 18.77% และผู้ถือหุ้นคนอื่นคงไม่ยอมให้ฝาจีบขายสินค้าให้โดยไม่ได้กำไร แต่ผมซึ่งเป็นนักลงทุนก็ไม่สบายใจนักกับความขัดแย้งทางผลประโยชน์แบบนี้ และถึงอย่างน้อยผมว่าสี่บริษัทนี้ก็คงต้องได้ซื้อฝาในราคาที่ถูกเพราะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ก็ย่อมรู้ข้อมูลต้นทุนอะไรทุกอย่าง


อันนี้เป็นแค่ตัวอย่างหนึ่งว่าทำไมการดูรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทที่เราจะลงทุนและดูว่าเขามีหุ้นในกิจการอื่นที่เกี่ยวข้องกับบริษัทของเราถึงสำคัญ แต่ต้องขอบอกว่าในหลายๆกรณีอาจซับซ้อนและดูความเกี่ยวข้องต่างๆยากกว่านี้มาก


Friday, August 3, 2012

หุ้น malee แพงไปรึเปล่า ยังซื้อได้ไหม

ผมเชื่อว่าหลายๆคนต้องรู้จัก เคยได้ยินชื่อ หรือเคย day trade หุ้น malee กันมาบ้างแล้ว ยิ่งตอนที่หุ้นได้กลับเข้าตลาดใหม่ๆเมื่อปีที่แล้ว เพราะราคานั้นผันผวนชนิดที่ว่าล่อตาล่อใจแบบสุดๆ แต่สำหรับคนที่คิดจะซื้อถือยาวเพื่อลงทุนนั้น ถึงแม้ตอนนั้น p/e จะอยู่ที่แค่ 1-3 เท่า ที่ราคา 10 บาทกว่าๆก็คงมีหลายเหตุผลที่ทำให้หลายๆคนไม่กล้าซื้อ

1. ที่กลับมากำไรได้เป็นเพียงแค่ระยะสั้นรึเปล่าเดี๋ยวอาจจะกลับไปขาดทุนอีก
2. หนี้ตั้งพันกว่าล้านบาทเมื่อไหร่จะใช้หมด
3. ราคาและ volume ที่ผันผวดขนาดนี้เหมือนมีคนเข้ามาปั่นเลย ซึ่ง VI ส่วนใหญ่จะไม่ชอบจุดนี้เป็นอย่างมาก

ผมเองก็ได้รู้จักกับ malee ตอนที่พึ่งกลับเข้าตลาดได้สองวันเท่านั้นเอง ที่รู้จักไม่ใช่เพราะได้ข่าวว่าเขาพึ่งกลับเข้าตลาดนะครับ แต่เป็นเพราะว่าตอนนั้นกำลังอยากเป็นเจ้าของบริษัทที่ผลิตอาหารเครื่องดื่มที่คนบริโภคกันอยู่ทุกวัน เป็นที่รู้จักและมี brand ที่แข็งแรง และผมก็ได้เห็นได้สัมผัสสินค้าอยู่ทุกวัน สินค้าแรกๆที่คิดถึงเลยก็มี Coke Pepsi มาม่า

แต่ด้วยหลายๆเหตุผลไม่มีตัวไหนที่ "โดน" จนชนิดที่ว่าผมพร้อมที่จะหยุด อาจจะซื้อไว้บ้างแต่ก็ไม่ได้มาก หลังจากดูสามตัวนี้ผมก็เลยเริ่มขยายวงค้นหาเพิ่มขึ้น ผมจำได้ว่าหลายๆครั้งที่ผมจะดื่มน้ำผลไม้ผมมักจะซื้อของ malee เสมอเพราะผมว่า packaging เข้าใจง่ายเตะตาและให้อารมณ์น้ำผลไม้ดี ถ้าเป็นน้ำส้มกล่องก็จะมีรูปส้มอยู่เต็มกล่อง ถ้าเป็นน้ำองุ่นก็จะมีรูปองุ่นอยู่เต็มกล่อง แต่ถ้าเป็นยี้ห้ออื่นกล่องเขาจะเป็นพื้นขาวแล้วก็มีรูปผลไม้ไม่ใหญ่มากมันไม่น่าหยิบเท่าไหร่

จุดนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้ผมเริ่มสนใจหุ้น malee และผมก็แปลกใจมากเมื่อทราบว่ามาลีพึ่งได้กลับเข้าตลาดมาได้ไม่นานเพราะธุรกิจมีปัญหา ทั้งๆที่ผมก็รู้จักกับ brand นี้มานานและก็รู้สึกว่าถ้าพูดถึงน้ำผลไม้ชื่อนี้น่าจะเป็นชื่อแรกๆที่คนส่วนใหญ่นึกถึง

พูดมาตั้งนานยังไม่ได้เข้าเรื่องสะทีว่าราคาตอนนี้ซื้อได้ไหม :p ผมว่าสิ่งแรกที่เราควรจะทำเลยถ้าตอนนี้ยังไม่มีหุ้น malee แล้วสนใจจะซื้อคือต้องลืมราคาในอดีตก่อนเพราะการที่เรามองว่าราคาเขาขึ้นมาจาก 10 เป็น 90 ตอนนี้จะทำให้เราตัดสินใจด้วยอารมณ์ไม่ใช่เหตุผล บางคนอาจจะเสียดายที่มองหุ้นมานานแต่ไม่ได้ซื้อสักทีตอนนี้เลยอาจจะอยากรีบซื้อเยอะๆเพราะเสียดายกำไรที่ผ่านมา บางคนอาจจะมองว่าขึ้นมาเยอะขนาดนี้ราคาต้องแพงมากแน่เลยไม่กล้าซื้อ

ถ้าดูที่ราคาหุ้น 91.25 บาทตอนนี้ราคาบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 6,000 ล้านบาท ถ้าประเมินกำไรแบบต่ำๆปีนี้ที่ 400 ล้านบาท P/E ก็จะอยู่ที่ 15 ซึ่งก็ยังถือว่าไม่แพงแต่ก็ไม่ถูก(แต่ก็ไม่เลวเลยถ้าเทียบกับตลาดตอนนี้) แต่ถ้ากำไรซัก 500 ล้านบาท ซึ่งน่าจะเป็นไปได้มากกว่า P/E จะอยู่ที่ 12 ซึ่งถือว่าดีเลยทีเดียวในสภาพตลาดตอนนี้ หรือถ้าจะกำไรมากกว่านั้น ซึ่งก็เป็นไปได้ P/E ก็จะยิ่งต่ำลงไปอีก

ส่วนเรื่องหนี้สินที่เคยดูเหมือนว่าจะเยอะมากด้วยกิจการที่พื้นตัวขึ้นมาทำให้หนี้ตรงนี้ดูเหมือนบริษัทจะจัดการได้ไม่ยากเกินไป บวกกับราคาหุ้นเมื่อก่อนที่ต่ำกว่านี้มากเลยอาจจะดูหลอกตาไปบ้างว่าบริษัทนี้มีหนี้มากกว่า market cap หลายเท่า

สำหรับคนที่เป็นห่วงว่าจะไม่ได้ปันผลไปอีกนานเพราะต้องเอาเงินไปใช้หนี้หมด ถ้าดูจากกิจการตอนนี้ที่มั่นคงขึ้นผมว่าเจ้าหนี้คงยังไม่อยากได้เงินก้อนใหญ่ๆคืนแต่คงจะอยากให้ malee ค่อยๆผ่อนคืนและได้กินดอกเบี้ยมากกว่าเพราะตอนนี้ถ้าเอาเงินก้อนไปก็คงไม่ง่ายที่จะเอาไปลงทุนอย่างอื่นเพื่อให้ได้ดอกเท่านี้

ถ้าดูตอนนี้สิ่งที่น่ากลังสำหรับผมก็คงจะเป็น

1. ภาพเศรษฐกิจโดยรวมที่ถ้าเกิดวิกฤตขึ้นมา หรือสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับธุรกิจของมาลี margin of safty ของราคาตรงนี้ถือว่ามีไม่มาก
2. รายได้ของมาลีบางส่วนในตอนนี้มาจากการรับผลิตให้ brand อื่น ซึ่งถ้าในอนาคตเขาเปลี่ยนไปใช้เจ้าอื่นหรือผลิตเองก็อาจจะมีผลกระทบกับรายได้

โดยรวมแล้วถ้าจะให้ผมซื้อหุ้น malee ตอนนี้ผมคงจะซื้อแค่ 35-40% ของงบที่ตั้งไว้ ใจจริงก็อยากจะซื้อมากกว่านี้แต่ใจไม่ถึง :p






Friday, July 20, 2012

Price To Book Ratio P/BV คืออะไร สำคัญยังไง

ถ้าคุณลงทุนในหุ้นคงจะเคยเห็นตัวเลขนี้ผ่านตามาบ้างเวลาดูข้อมูลของหุ้นตัวต่างๆ แต่อาจจะมีความรู้สึกว่า P/BV นั้นเป็นเหมือนลูกเมียน้อยเพราะคนส่วนใหญ่จะพูดถึงตัวเลขอีกตัวที่ชื่อคล้ายๆกันหรือ P/E นั่นเอง

แล้ว Price To Book Ratio คืออะไรล่ะ? มันก็คือราคาของบริษัทตอนนี้(คำนวนจากราคาหุ้น) เทียบกับมูลค่าทรัพย์สินของบริษัททั้งหมด (หลังจากหักหนี้แล้ว) หรือพูดง่ายๆก็คือถ้าปิดบริษัทลงตอนนี้แล้วขายของๆบริษัททั้งหมดจะได้เงินมาเท่าไหร่

สมมุติว่ามีบริษัทหนึ่งมีตึกและที่ดินมูลค่า 1,000 บาท มีเงินสดอยู่ 100 บาท และมีหนี้อยู่ 600 บาท

ถ้าปิดลงตอนนี้แล้วขายตึกก็จะได้เงิน 1,000 บาท บวกกับเงินสดที่มีอยู่ 100 บาท รวมเป็น 1,100 บาท

แต่ต้องไปจ่ายหนี้ 600 บาท ก็จะเหลือเงิน 500 บาท

เพราะฉะนั้น Book Value ของบริษัทนี้จะเท่ากับ (1000 + 100) - 600 = 500 บาท

ทีนี้สมมุติว่าบริษัทนี้มีหุ้นอยู่ทั้งหมด 100 หุ้น ราคาตอนนี้อยู่ที่หุ้นละ 10 บาท ถ้าเราจะซื้อทั้งบริษัทเราต้องใช้เงิน 100 *10 = 1000 บาท

เพราะฉะนั้น P/BV ก็เท่ากับ

ราคาของบริษัทตอนนี้ หารด้วย สินทรัพย์ของบริษัท = 1000/500 = 2

P/BV = 2


ถ้าดูจากสูตรนี้จะเห็นว่ายิ่ง P/BV ต่ำก็ยิ่งดี เพราะเหมือนกับว่าเราได้ซื้อของถูก สมมุติถ้า P/BV = 0.5 ก็เท่ากับเราจ่ายแค่ครึ่งราคาสำหรับสินทรัพย์ของบริษัทเลยนะเนี่ย สุดยอด 50% SALE!!!

แต่ในความเป็นจริงแล้ว BV หรือ Book Value นั้น เป็นเหมือนมูลค่าที่ไม่ได้เอาออกมาใช้จริงในการดำเนินธุรกิรปรกติ และคงเป็นเหตุผลที่ทำไมคนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับ P/E มากกว่า



ถ้าจะให้เห็นภาพลองนึกถึงห้างกลางเมืองที่ตั้งมานาน อย่างเวลาคุณเดินแถวสีลมหรือเจริญกรุงอาจจะเห็นบางห้างที่เปิดมานาน ที่ดินกลางเมืองที่ห้างตั้งอยู่นั้นตอนนี้อาจมีราคาหลายพันหรือหมื่นล้านบาท แต่ตัวห้างตอนนี้ดูโทรมและกิจการอาจจะไม่ค่อยดีนัก กำไรปีนึงอาจจะอยู่แค่หลักสิบล้านบาท

สมมุติว่าที่ดินมีมูลค่า 5,000 ล้านบาท และบริษัททำกำไรได้ปีละ 100 ล้านบาท ทุกปีโดยที่กำไรไม่มีแนวโน้มว่าจะโตขึ้น

ถ้าห้างนี้เป็นบริษัทหนึ่งที่มีหุ้นซื้อขายกันอยู่ก็ไม่แปลกถ้า P/BV จะต่ำกว่า 1 เพราะถ้า P/BV เท่ากับ 1 นั่นก็หมายความว่าราคาหุ้นทั้งหมดของห้างต้องเท่ากับ 5,000 ล้านบาท แต่นักลงทุนจะยอมจ่ายถึง 5,000 ล้านบาทเพื่อกำไรเพียงแค่ 100 ล้านบาทต่อปีหรือ? ต้องรอถึง 50 ปีเพื่อคืนทุน!!!

โดยส่วนใหญ่แล้วมูลค่าทางบัญชีหรือ Book Value นั้นไม่ว่าจะเป็นที่ดินที่บริษัทตั้งอยู่ หรือ ที่ดินเปล่าที่บริษัทมี หรือเงินสดที่เก็บสะสมไว้ ตราบใดที่บริษัทไม่ได้ขายออกไปแล้วเอาออกมาแบ่งให้กับผู้ถือหุ้นมันก็จะจมอยู่อย่างนั้น โดยที่เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเมื่อไหร่ อาจจะเป็น 5 10 20 50 ปีก็ได้ และอีกอย่างนึงที่ต้องไม่ลืมคือราคาประเมินสินทรัพย์ต่างๆอย่างที่ดิน หรือโดยเฉพาะเครื่องจักรเครื่องมือต่างๆนั้นเวลาที่จะเอาไปขายจริงๆราคาอาจจะไม่ได้อย่างที่ประเมินเอาไว้


แล้ว P/BV มีประโยชน์อะไร

ในบางครั้งนักลงทุนบางคนอาจไม่ได้หวังผลตอบแทนจากกำไรของธุรกิจในบริษัทที่เขากำลังจะไปลงทุน แต่เขาคาดว่า Book Value ของบริษัทนั้นกำลังจะได้ถูกนำออกมาใช้

เอาตัวอย่างห้างที่พูดกันมาแล้ว สมมุติว่าหุ้นทั้งหมดของห้างนั้นขายอยู่ที่ 2,500 ล้านบาท เท่ากับว่า P/BV = 2500/5000 = 0.5

นักลงทุนอาจจะคิดว่าบริษัทกำลังจะปิดห้างแล้วขายที่ๆมีค่าถึง 5,000 ล้านบาทออกไป หรือที่เกิดขึ้นบ่อยกว่าก็คือมีอีกบริษัทนึงเข้ามา takeover เพราะเขาก็เห็นอยู่ว่าถ้าซื้อมาเสร็จแล้วปิดห้างและขายที่เขาก็จะได้กำไร ซึ่งโดยปรกติบริษัทที่เข้ามา takeover ก็จะให้ราคาหุ้นสูงกว่าที่อยู่ในกระดานประมาณนึง อาจจะให้ 3,500 ล้านบาทซึ่งนักลงทุนก็จะได้กำไรถ้าเข้ามาซื้อหุ้นรอไว้ก่อน


P/BV สูงๆจะไม่ดีรึเปล่า?

ข้อดีอย่างนึงของการมี P/BV ต่ำๆก็คือความ "อุ่นใจ" คือถ้าธุรกิจดูจะไปไม่ค่อยรอดอย่างน้อยบริษัทก็ยังมีสินทรัพย์ที่มีค่าเหลืออยู่ พูดง่ายๆคือเราอาจจะไม่เจ๊งมาก (ซึ่งจริงๆแล้วถ้าธุรกิจขาดทุนอยู่ ไม่นานหนี้สินที่ก่อขึ้นก็อาจกลืนทรัพย์สินที่มีอยู่ได้)

แต่บริษัทที่มี P/BV สูงๆก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นบริษัทที่ราคาหุ้น "แพง" เพราะบางธุรกิจสามารถสร้างกำไรสูงจากสินทรัพย์น้อยๆได้

อย่างธุรกิจการทำ website หลายๆอันใช้สินทรัพย์น้อยมาก อย่างหลายๆ website เล็กๆใช้แค่ computer ไม่กี่เครื่องราคารวมกันไม่ถึง 100,000 บาท แต่ปีๆนึง website ของเขาทำกำไรได้เป็นหลัก 1,000,000 บาท

สมมุติว่าเขาเป็นบริษัทที่มีหุ้นทั้งหมดขายอยู่ที่ 500,000 บาท

P/BV = 500000/100000 = 5 จะถือว่าแพงไหม?

ลงทุนแค่ 500,000 บาท แต่ได้กำไรปีนึง 1,000,000 บาท ผมว่าไม่แพงนะ

ถ้าจะให้ผมลงทุนในห้างที่ P/BV = 1 แต่ต้องรอหลายสิบปีกว่าจะคืนทุน กับลงทุนใน website ที่ P/BV = 5 แต่ปีนึงได้เงินคืนสองเท่า ผมขอ P/BV = 5 ดีกว่า

นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมคนดูจะให้ความสำคัญกับตัว P/E มากกว่า







Friday, July 13, 2012

ซื้อหุ้นอะไรดีระหว่าง ADVANC กับ DTAC กับ TRUE

มีคนที่ผมรู้จักหลายคนสนใจที่จะลงทุนในหุ้นกลุ่มสื่อสารเพราะคิดว่า mobile นั้นคืออนาคต ซึ่งผมก็เห็นด้วยว่าการใช้ mobile technology ในการทำสิ่งต่างๆนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆแล้วก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มต่อไปอีก แต่คำถามที่มักจะมีตามมาก็คือ "แล้วจะซื้อหุ้นตัวไหนหล่ะ"

สัญชาตญาณแรกของผมเลยก็คือซื้อหุ้น ADVANC น่าจะดีที่สุดเพราะตอนนี้เป็นเบอร์หนึ่งในธุรกิจ มีแบรนด์ที่เข็งแกร่งที่สุด มีเครื่อข่ายที่(ในความคิดของหลายๆคน)ดีที่สุด ซึ่งถ้าธุรกิจสื่อสารเติบโตได้ดีจริงๆเงินลงทุนของเราก็น่าจะได้ผลตอบแทนที่ดี แต่เมื่อมาคิดดูดีๆผมว่าเราก็ยังไม่ควรที่จะตัดอีกสองตัวที่เหลือออกไปซะทีเดียว

ที่เขาว่ายิ่งเสี่ยงมากยิ่งได้มากนั้นอาจใช้ได้ในครั้งนี้ การเติบโตของธุรกิจสื่อสารตอนนี้ทำได้หลายทาง 

ทางแรกเลยก็คือการที่ลูกค้าต้องการใช้ data มากขึ้นและเริ่มย้ายกันมาใช้ smart phone ซึ่งตอนนี้ก็มีสัดส่วนที่เปลี่ยนมาใช้เยอะพอสมควรแล้วอาจจะโตอีกได้แค่ประมาณหนึ่งและอันนี้ก็เป็นปัจจัยบวกที่ทั้งสามค่ายน่าจะได้รับพอๆกัน

ยิ่งคนใช้มือถือเพื่อเป็นการรับรู้ข่าวสารและข้อมูลต่างๆรวมถึงการใช้ application ในการทำสิ่งต่างๆมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งสามบริษัทจะสามารถใช้จุดนี้ยกตัวเองขึ้นไปให้เป็นมากกว่าเพียง "ผู้ให้บริการเครือข่าย" มาเป็นบริษัท consumer products หรือ media company ซึ่งตรงนี้ก็ยังไม่ชัดเจนว่าใครจะทำออกมายังไงหรือว่าจะมีใครทำได้รึเปล่า แต่ทั้งสามบริษัทก็มีโอกาสเท่าๆกัน

แต่อันนึงเลยที่จะทำให้ทั้งสามบริษัทโตได้อย่างมากก็คือการเพิ่ม Market Share ซึ่งต้องบอกว่าทั้งสามบริษัทมีโอกาสไม่เท่ากัน เนื่องจาก ADVANCE เป็นเบอร์หนึ่งอยู่แล้วและมี Market Share ที่ค่อนข้างสูงการขยายจึงเป็นไปได้ค่อนข้างจำกัดต่างจาก DTAC และโดยเฉพาะ TRUE ที่ยังสามารถขยายได้อีกมากซึ่งถ้าวันดีคืนดีสองบริษัทนี้สามารถตีตลาดได้ละก็ธุรกิจของเขาก็มีโอกาสที่จะขยายได้อย่างมาก ยิ่งเดี๋ยวนี้การเปลี่ยนเครื่อข่ายทำได้ง่ายกว่าแต่ก่อนมากและยังเก็บเบอร์เดิมไว้ได้ด้วย

โดยส่วนตัวแล้วถ้าจะให้ผมลงทุนผมคงจะซื้อทั้ง ADVANC และ DTAC ด้วยเงินที่เท่าๆกัน เพราะผมคิดว่าในความคิดของหลายๆคน ทั้งแบรนด์และเครือข่ายของ DTAC นั้นไม่ใด้เป็นรอง ADVANC อยู่มากเท่าไหร่ แต่สำหรับ TRUE นั้นถึงแม้ผลตอบแทนอาจจะได้มากถ้าทำสำเร็จแต่ตอนนี้ดูยังจะเสี่ยงเกินไป ถ้ารอให้เริ่มเห็นการ turnaround แล้วค่อยซื้อน่าจะดีกว่า เพราะตอนนี้ในความคิดของใครหลายๆคนเครือข่ายของ TRUE นั้นโดนบ่นจนทุกคนรู้สึกว่ามันแย่มากๆไปแล้ว ถึงแม้ตอนนี้มันอาจจะไม่ได้แย่เหมือนในอดีตก็ตาม

Wednesday, July 11, 2012

เงินซื้อความสุขไม่ได้ แต่ป้องกันความทุกข์ได้

ทุกคนคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า เงินซื้อความสุขไม่ได้ ซึ่งผมก็เห็นด้วยประมาณหนึ่งแต้ถ้าจะบอกว่าเงินไม่สามารถนำมาซึ่งความสุขได้ ผมคงจะไม่เห็นด้วยซะทีเดียว

จริงๆแล้วผมว่าเงินก็ซื้อความสุขได้นะครับ แค่ซื้อได้ไม่เยอะและเป็นความสุขระยะสั้นเท่านั้นเอง อย่างรถแพงๆ บ้านหรูๆการกินของดีๆหรือไปเที่ยวตามที่ต่างๆ สิ่งเหล่านี้ก็สามารถทำให้เรามีความสุขได้แต่มันก็ไม่ได้รู้สึกสุขแบบสุดๆและไม่นานเราก็อาจเบื่อ คล้ายๆกับการเสพสิ่งเสพติดที่เมื่อหมดฤทธิ์ยาเราก็เหลือแต่ความว่างเปล่าและต้องคอยเสพยาอยู่เรื่อยๆเพื่อให้ได้รู้สึกดีอีกครั้งหนึ่ง

แต่สิ่งที่เงินทำได้ดีอย่างหนึ่งเลยคือการป้องกันเราจากความทุกข์ ทุกวันนี้อย่าว่าแต่ความสุขเลยครับแค่พยามหลีกหนีความทุกข์ในชีวิตประจำวันก็เหนื่อยแล้ว ไหนจะต้องรถติด ใช้ชีวิตอย่างเล่งรีบ เครียดกับเรื่องงาน กังวลกับเรื่องค่าเช่าบ้านค่าน้ำค่าไฟค่าผ่อนรถค่าเรียนลูกค่าอาหารค่า...

ซึ่งความทุกข์เหล่านี้เงินสามารถช่วยให้เราหลุดพ้นจากมันได้ และที่ผมคิดว่าเงินสามารถนำมาซึ่งความสุขนั้นไม่ใช่เพราะมันจะสามารถซื้อความสุขได้ แต่มันสามารถจะมอบอิสระให้เราไปตามหาความสุขที่เราต้องการได้

แต่กว่าเรา(ถ้าโชคดี)จะมีเงินพอที่จะเป็นอิสระ เราอาจลืมในจุดนี้ไปแล้วก็ได้ แล้วก็ใช้เวลาที่เหลือพยามหาเงินให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วยความเคยชินและความเชื่อที่ว่ายิ่งมีเงินมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น


Monday, July 9, 2012

จะซื้อหรือขายหุ้น ต้นทุนไม่สำคัญ

ทุกๆครั้งที่ได้ดูรายการวิเคราะห์หุ้นที่เขามีให้คนโทรหรือ sms เข้ามาถามเกี่ยวกับหุ้นตัวต่างๆที่ตัวเองถืออยู่แล้วก็บอกต้นทุน หลังจากนั้นนักวิเคราห์ก็จะแนะนำว่าถ้าต้นทุนเท่านี้ให้ขายถ้าเท่านี้ให้ซื้อหรือถือ ผมก็จะรู้สึกแปลกใจทุกครั้ง เพราะจริงๆแล้วการที่เราจะซื้อขายหรือถือหุ้นที่เรามีอยู่ ราคาต้นทุนของเรานั้นไม่ควรจะมีส่วนกับการตัดสินใจเลย

ผมอาจจะเคยพูดมาหลายครั้ง แต่ผมก็จะขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าการลงทุนในหุ้นนั้นนอกจากเหตุผลแล้วอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันนั้นก็คืออารมณ์ซึ่งเราต้องพยามควบคุมมันให้ได้และอย่าให้มันมาควบคุมเรา

ถ้าเรารู้ 100% ว่าหุ้นจะขึ้นเราจะซื้อเพิ่มไหม? แน่นอนเราก็คงจะซื้อเพิ่ม
ถ้าเรารู้ 100% ว่าหุ้นจะตกเราจะขายไหม? แน่นอนเราก็คงจะขาย

จะเห็นได้ว่าในทั้งสองกรณีนั้นต้นทุนของเราไม่มีผลกับสิ่งที่เราควรจะทำเลย

แต่เราไม่รู้ 100% นิว่าหุ้นจะขึ้นหรือลง?

อันนี้ผมเห็นด้วยครับว่าเราไม่มีทางรู้ได้ แต่ถึงต้นทุนจะสูงหรือต่ำเวลาหุ้นขึ้นหรือลงเราก็กำไรหรือขาดทุนเพิ่มขึ้นเท่าๆกันไม่ได้แตกต่างกันเลย หลายๆครั้งเวลาหุ้นลง เราจะเห็นนักวิเคราะห์แนะนำนักลงทุนที่มีต้นทุนต่ำๆว่าให้ถือได้ไม่เป็นไรธุรกิจยังดีอยู่ แต่ถ้าเป็นคนที่มีหุ้นตัวเดียวกันแต่ต้นทุนสูงก็จะบอกว่าให้ cut loss ไปก่อน ในระยะสั้นอาจจะลงต่อ ซึ่งผมรู้สึกว่ามันเป็นการบรรเทาอารมณ์มากกว่าการซื้อขายด้วยเหตุผล ซึ่งผมก็เข้าใจเพราะการที่ port เราจะเขียวน้อยลง 100 บาท นั้นเราจะรู้สึกแย่น้อยกว่าการที่มันจะแดงขึ้น 100 บาทมากพอสมควร

แต่สิ่งที่นักวิเคราะห์ควรจะถามจริงๆแล้วคือ เงินของนักลงทุนตอนนี้อยู่ในหุ้นกี่เปอร์เซ็นต์และมีเงินสดกี่เปอร์เซ็นต์ เพราะสิ่งนี้ควรจะมีความสำคัญแก่การตัดสินใจว่าจะซื้อ ถือ หรือขายหุ้นที่มีอยู่ เพราะมันจะตัดสินได้ว่าเราจะทำอะไรได้มากแค่ไหนเมื่อเราคาดการณ์ผิด

เนื่องจากเราไม่มีทางรู้ได้ว่าบริษัทที่เรามีหุ้นอยู่จะกิจการดีขึ้นหรือแย่ลง 100% เราก็ควรจะแบ่งเงินสดเก็บไว้มากหรือน้อยตามความมั่นใจของเรา ถ้าเรามั่นใจในกิจการมากก็อาจจะซื้อเพิ่มได้แล้วเหลือเงินสดไว้น้อยหน่อย ถ้าเรามั่นใจไม่มากก็เหลือเงินสดไว้มากหน่อย







Thursday, July 5, 2012

คนเราจะเล่นหุ้นได้ดีขึ้นถ้าตาบอดสี

สิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการเล่นหุ้นก็คือการควบคุมอารมณ์ ถ้าเราปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลเมื่อไหร่แล้วล่ะก็พอร์ตเรามักจะย่อขนาดลงได้อย่างรวดเร็ว เพราะอารมณ์ของเรามักจะบอกให้เราทำในสิ่งที่ผิดอยู่เสมอ

และสิ่งๆหนึ่งที่มักทำให้เราเกิดอารมณ์ต่างๆนาๆได้ก็คือสีแดงๆเขียวๆที่อยู่บนกระดานหุ้นนั่นเอง สีแค่สองสีนี้อาจทำให้เราขาดทุนได้มากอย่างไม่น่าเชื่อ

วันไหนที่กระดานสีแดงอะไรๆก็ดูน่ากลัวไปหมด ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้อาจจะเคยบอกตัวเองอยู่ตลอด ว่าถ้าวันไหนหุ้นตัวนี้ราคาตกมาเท่านี้นะจะขายบ้านขายรถมาซื้อ แต่พอตกลงมาจริงๆ...โอทำไมสีแดงมันช่างน่ากลัวเหลือเกิน ยิ่งแดงทั้งกระดานนี่ยิ่งไม่ต้องพูดกันเลย

หรือถ้ามีหุ้นอยู่ในพอร์ตแล้วราคามันตกนิดหน่อยเป็นสีแดง ยิ่งพอมองตัวเลขติดลบสีแดงแล้วล่ะก็ โอยมันเครียดเหลือเกิน กินไม่เข้านอนไม่หลับเซ็ง ทั้งๆที่ตัวเลขที่ขาดทุนอยู่อาจจะไม่มาก ไปกินข้าวกับเพื่อนๆมื้อเดียวก็เกินแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมมันรับไม่ได้ นั่งจ้องกระดานทั้งวันใช้โทรจิตรให้มันกลับขึ้นไปเป็นสีเขียว (จริงๆสีเหลืองก็เอาแล้ว)

หรือหุ้นบางตัวราคาขึ้นเกินพื้นฐานไปมาก แต่โอยสีเขียวๆมันล่อตาล่อใจเหลือเกิน มันต้องเป็นหุ้นที่ดีแน่ๆเลยไม่งั้นคงไม่ขึ้นไปขนาดนี้หลอก ยิ่งมองก็ยิ่งอยากมีส่วนร่วม ซื้อซะหน่อยดีกว่า


ถ้าคุณพบว่าคุณมีอาการเหล่านี้ ลองทำตัวเองให้ "ตาบอดสี" สักวันสองวันดูนะครับแล้วอาจจะมองอะไรๆได้ชัดขึ้นก็ได้

 


Wednesday, July 4, 2012

ซื้อหุ้น CPF ติดไข้หวัดนกตามไก่ไปเรียบร้อย

จากที่เมื่อวานนี้ซื้อไว้

http://www.stupidstocktrader.com/2012/07/cpf-mexico.html

ตอนนี้ติดไข้หวัดนกตามไก่ไปเรียบร้อย 555 ราคาลงมาอยู่ที่ 34 บาทกว่าๆ

เดี๋ยวถ้าราคาลงจากที่ซื้อไว้ซัก 10% อาจจะซื้อเพิ่ม แต่ตอนนี้ขอไปรักษาไข้ก่อน


Tuesday, July 3, 2012

หุ้น CPF ลงเยอะเพราะข่าวไข้หวัดนกที่จีนและ Mexico เลยซื้อมาเล็กน้อย

เมื่อวานได้ฟังข่าวตอนเย็นว่าเหมือนจะมีไข้หวัดนกระบาดที่จีนกับ Mexico ก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอตื่นมาเมื่อเช้า โอ้โห CPF ตกไปเยอะอยู่ เลยซื้อมาประดับฟอร์ดไว้เล็กน้อยที่ราคา 36.75

จะตายตามไก่รึเปล่าเดี๋ยวคงได้เห็นกัน :)

Friday, June 1, 2012

หุ้นน่าซื้อไหมเมื่อ SET ลงมาแถว 1,100 จุด

ช่วงนี้หลายๆคนอาจจะอยู่ในอาการตึงเครียด ด้วยตลาดหุ้นที่ตกลงมาเรื่อยๆกับข่าวร้ายต่างๆที่มีเข้ามาทุกวัน จนตอนนี้อาจจะทำอะไรไม่ถูก ใจนึงไม่กล้าซื้อเพราะเห็น port ตัวเองลดลงมาเยอะถ้าซื้อแล้วลงต่อไปจะทำยังไง อีกใจนึงก็บอกตัวเองว่าจำรอบที่แล้วไม่ได้เหรอ มัวแต่กลัวจนตกรถแล้วบอกตัวเองว่าุถ้าหุ้นตกคราวหน้าจะซื้อซะให้หนำใจ สุดท้ายพอหุ้นตกลงมาจริงๆก็ไม่กล้าซื้ออีก

ตอนนี้ต้องยอมรับว่ามีหุ้นอยู่หลายตัวที่ราคาต้องถือว่าดีทีเดียว อาจจะไม่ดีเวอร์ๆแต่ก็คงหาซื้อราคานี้ได้ไม่บ่อยนัก แต่เราก็ไม่รู้อยู่ดีว่าจะถูกลงไปกว่านี้อีกรึเปล่า ผมว่าจะซื้อหุ้นเพิ่มตอนนี้หรือไม่น่าจะดูที่ว่าเรามีเงินสดเหลืออยู่เท่าไหร่เมื่อเทียบกับเงินที่อยู่ในหุ้น ถ้าอยู่ในหุ้น 50% ขึ้นไปผมว่าตอนนี้รอดูไปก่อนก็ได้ ถ้า SET เด้งกลับขึ้นไปเราก็ยังได้ capital gain จากหุ้นที่ยังถืออยู่ แต่ถ้าตกลงไปอีกเราก็ยังมีเงินเพื่อเก็บหุ้นในราคาที่ถูกมาก

แต่ถ้าตอนนี้มีเงินสดในมือมากกว่าในหุ้นมาก จะใช้เงินบางส่วนเริ่มเข้าซื้อหุ้นบางตัวก็ไม่เลวนัก เพราะตอนนี้มีหุ้น Blue Chip ตัวใหญ่หลายตัวที่ PE ลงมาเหลือแค่ 7-9 และยังได้ปันผลสูงถึง 4-5% ซึ่งต้องถือว่าเป็นราคาที่ดีเลยครับในการที่จะซื้อแล้วเก็บยาว

Tuesday, May 22, 2012

หุ้นลงก็ เซ็ง หุ้นขึ้นก็ เซ็ง

ไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นเหมือนกันรึเปล่า แต่อย่างที่รู้ๆกัน ความเครียดของการเล่นหุ้นนั้นส่วนหนึ่งมาจากอารมณ์ของตัวผู้เล่นเอง ซึ่งสำหรับผมแล้วหลายๆครั้งมีแต่เสียกับเสีย

เวลาหุ้นลง...

ว่าแล้วเชียวว่ามันต้องลง...
เมื่อกี๊จะขายอยู่แล้วเชียว...
รู้งี้...
เซ็ง...

เวลาหุ้นขึ้น

ว่าแล้วเชียวว่ามันต้องขึ้น...
เมื่อกี๊จะซื้ออยู่แล้วเชียว...
รู้งี้...
เซ็ง...


ซึ่งถึงเราจะรู้ว่าบางครั้งเราไม่ควรจะไปเครีัยดกับการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น...แต่มันก็อดไม่ได้

Saturday, May 5, 2012

หุ้น DTAC ตกตามคาด

หลังจากที่ซื้อหุ้น DTAC ไปเมื่อสองวันก่อน

http://www.stupidstocktrader.com/2012/05/dtac.html

อย่างที่ได้บอกไว้ ซื้อเมื่อไหร่ตกเมื่อนั้นอิๆๆ เพราะอย่างนี้แหละครับตอนซื้อผมถึงได้เผื่อเงินเอาไว้ซื้อเพิ่มเยอะๆ แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ได้ทำอะไรนะครับเก็บหุ้นเอาไว้เฉยๆก่อน


Wednesday, May 2, 2012

วันนี้ซื้อหุ้น DTAC ไปเล็กน้อย

จริงๆแล้วไม่ได้ดูที่หุ้น DTAC ตัวเดียวหรอกครับแต่ผมสนใจและมองกลุ่มสื่อสาร (ที่ให้บริการเกี่ยวกับมือถือและ mobile devices) มาซักพักแล้ว และรอเวลาที่จะเิกิดเหตุการณ์อะไรซักอย่างที่จะทำให้ราคาหุ้นตกแรงๆ ผมจะได้ช้อนซื้อ แต่มันก็ยังไม่มาสักที วันนี้ไม่รู้นึกยังไง อยู่ดีๆก็ "รอไม่ไหวแล้วววว" แต่เนื่องจากราคาตอนนี้ก็ไม่ได้ถูก ผมเลยตัดสินใจเข้าซื้อด้วยเงินแค่ส่วนหนึ่ง โดยเหลือเงินพอที่จะเฉลี่ยได้อีก 3 ครั้ง ตอนแรกผมต้องการจะซื้อ DTAC และ ADVANC ด้วยจำนวนเงินที่เท่าๆกัน แต่ด้วยราคา 82.5 กับ 181.5 ถ้าจะทำอย่างนั้นผมคงจะไม่มีเงินพอ สุดท้ายจึงซื้อได้แค่ตัวเดียว T_T

ถ้าใครถือหุ้นตัวนี้อยู่ต้องขอโทษด้วยนะครับ เพราะผมซื้อแล้วเดี๋ยวตกแน่นอน :)