Friday, July 20, 2012

Price To Book Ratio P/BV คืออะไร สำคัญยังไง

ถ้าคุณลงทุนในหุ้นคงจะเคยเห็นตัวเลขนี้ผ่านตามาบ้างเวลาดูข้อมูลของหุ้นตัวต่างๆ แต่อาจจะมีความรู้สึกว่า P/BV นั้นเป็นเหมือนลูกเมียน้อยเพราะคนส่วนใหญ่จะพูดถึงตัวเลขอีกตัวที่ชื่อคล้ายๆกันหรือ P/E นั่นเอง

แล้ว Price To Book Ratio คืออะไรล่ะ? มันก็คือราคาของบริษัทตอนนี้(คำนวนจากราคาหุ้น) เทียบกับมูลค่าทรัพย์สินของบริษัททั้งหมด (หลังจากหักหนี้แล้ว) หรือพูดง่ายๆก็คือถ้าปิดบริษัทลงตอนนี้แล้วขายของๆบริษัททั้งหมดจะได้เงินมาเท่าไหร่

สมมุติว่ามีบริษัทหนึ่งมีตึกและที่ดินมูลค่า 1,000 บาท มีเงินสดอยู่ 100 บาท และมีหนี้อยู่ 600 บาท

ถ้าปิดลงตอนนี้แล้วขายตึกก็จะได้เงิน 1,000 บาท บวกกับเงินสดที่มีอยู่ 100 บาท รวมเป็น 1,100 บาท

แต่ต้องไปจ่ายหนี้ 600 บาท ก็จะเหลือเงิน 500 บาท

เพราะฉะนั้น Book Value ของบริษัทนี้จะเท่ากับ (1000 + 100) - 600 = 500 บาท

ทีนี้สมมุติว่าบริษัทนี้มีหุ้นอยู่ทั้งหมด 100 หุ้น ราคาตอนนี้อยู่ที่หุ้นละ 10 บาท ถ้าเราจะซื้อทั้งบริษัทเราต้องใช้เงิน 100 *10 = 1000 บาท

เพราะฉะนั้น P/BV ก็เท่ากับ

ราคาของบริษัทตอนนี้ หารด้วย สินทรัพย์ของบริษัท = 1000/500 = 2

P/BV = 2


ถ้าดูจากสูตรนี้จะเห็นว่ายิ่ง P/BV ต่ำก็ยิ่งดี เพราะเหมือนกับว่าเราได้ซื้อของถูก สมมุติถ้า P/BV = 0.5 ก็เท่ากับเราจ่ายแค่ครึ่งราคาสำหรับสินทรัพย์ของบริษัทเลยนะเนี่ย สุดยอด 50% SALE!!!

แต่ในความเป็นจริงแล้ว BV หรือ Book Value นั้น เป็นเหมือนมูลค่าที่ไม่ได้เอาออกมาใช้จริงในการดำเนินธุรกิรปรกติ และคงเป็นเหตุผลที่ทำไมคนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับ P/E มากกว่า



ถ้าจะให้เห็นภาพลองนึกถึงห้างกลางเมืองที่ตั้งมานาน อย่างเวลาคุณเดินแถวสีลมหรือเจริญกรุงอาจจะเห็นบางห้างที่เปิดมานาน ที่ดินกลางเมืองที่ห้างตั้งอยู่นั้นตอนนี้อาจมีราคาหลายพันหรือหมื่นล้านบาท แต่ตัวห้างตอนนี้ดูโทรมและกิจการอาจจะไม่ค่อยดีนัก กำไรปีนึงอาจจะอยู่แค่หลักสิบล้านบาท

สมมุติว่าที่ดินมีมูลค่า 5,000 ล้านบาท และบริษัททำกำไรได้ปีละ 100 ล้านบาท ทุกปีโดยที่กำไรไม่มีแนวโน้มว่าจะโตขึ้น

ถ้าห้างนี้เป็นบริษัทหนึ่งที่มีหุ้นซื้อขายกันอยู่ก็ไม่แปลกถ้า P/BV จะต่ำกว่า 1 เพราะถ้า P/BV เท่ากับ 1 นั่นก็หมายความว่าราคาหุ้นทั้งหมดของห้างต้องเท่ากับ 5,000 ล้านบาท แต่นักลงทุนจะยอมจ่ายถึง 5,000 ล้านบาทเพื่อกำไรเพียงแค่ 100 ล้านบาทต่อปีหรือ? ต้องรอถึง 50 ปีเพื่อคืนทุน!!!

โดยส่วนใหญ่แล้วมูลค่าทางบัญชีหรือ Book Value นั้นไม่ว่าจะเป็นที่ดินที่บริษัทตั้งอยู่ หรือ ที่ดินเปล่าที่บริษัทมี หรือเงินสดที่เก็บสะสมไว้ ตราบใดที่บริษัทไม่ได้ขายออกไปแล้วเอาออกมาแบ่งให้กับผู้ถือหุ้นมันก็จะจมอยู่อย่างนั้น โดยที่เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเมื่อไหร่ อาจจะเป็น 5 10 20 50 ปีก็ได้ และอีกอย่างนึงที่ต้องไม่ลืมคือราคาประเมินสินทรัพย์ต่างๆอย่างที่ดิน หรือโดยเฉพาะเครื่องจักรเครื่องมือต่างๆนั้นเวลาที่จะเอาไปขายจริงๆราคาอาจจะไม่ได้อย่างที่ประเมินเอาไว้


แล้ว P/BV มีประโยชน์อะไร

ในบางครั้งนักลงทุนบางคนอาจไม่ได้หวังผลตอบแทนจากกำไรของธุรกิจในบริษัทที่เขากำลังจะไปลงทุน แต่เขาคาดว่า Book Value ของบริษัทนั้นกำลังจะได้ถูกนำออกมาใช้

เอาตัวอย่างห้างที่พูดกันมาแล้ว สมมุติว่าหุ้นทั้งหมดของห้างนั้นขายอยู่ที่ 2,500 ล้านบาท เท่ากับว่า P/BV = 2500/5000 = 0.5

นักลงทุนอาจจะคิดว่าบริษัทกำลังจะปิดห้างแล้วขายที่ๆมีค่าถึง 5,000 ล้านบาทออกไป หรือที่เกิดขึ้นบ่อยกว่าก็คือมีอีกบริษัทนึงเข้ามา takeover เพราะเขาก็เห็นอยู่ว่าถ้าซื้อมาเสร็จแล้วปิดห้างและขายที่เขาก็จะได้กำไร ซึ่งโดยปรกติบริษัทที่เข้ามา takeover ก็จะให้ราคาหุ้นสูงกว่าที่อยู่ในกระดานประมาณนึง อาจจะให้ 3,500 ล้านบาทซึ่งนักลงทุนก็จะได้กำไรถ้าเข้ามาซื้อหุ้นรอไว้ก่อน


P/BV สูงๆจะไม่ดีรึเปล่า?

ข้อดีอย่างนึงของการมี P/BV ต่ำๆก็คือความ "อุ่นใจ" คือถ้าธุรกิจดูจะไปไม่ค่อยรอดอย่างน้อยบริษัทก็ยังมีสินทรัพย์ที่มีค่าเหลืออยู่ พูดง่ายๆคือเราอาจจะไม่เจ๊งมาก (ซึ่งจริงๆแล้วถ้าธุรกิจขาดทุนอยู่ ไม่นานหนี้สินที่ก่อขึ้นก็อาจกลืนทรัพย์สินที่มีอยู่ได้)

แต่บริษัทที่มี P/BV สูงๆก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นบริษัทที่ราคาหุ้น "แพง" เพราะบางธุรกิจสามารถสร้างกำไรสูงจากสินทรัพย์น้อยๆได้

อย่างธุรกิจการทำ website หลายๆอันใช้สินทรัพย์น้อยมาก อย่างหลายๆ website เล็กๆใช้แค่ computer ไม่กี่เครื่องราคารวมกันไม่ถึง 100,000 บาท แต่ปีๆนึง website ของเขาทำกำไรได้เป็นหลัก 1,000,000 บาท

สมมุติว่าเขาเป็นบริษัทที่มีหุ้นทั้งหมดขายอยู่ที่ 500,000 บาท

P/BV = 500000/100000 = 5 จะถือว่าแพงไหม?

ลงทุนแค่ 500,000 บาท แต่ได้กำไรปีนึง 1,000,000 บาท ผมว่าไม่แพงนะ

ถ้าจะให้ผมลงทุนในห้างที่ P/BV = 1 แต่ต้องรอหลายสิบปีกว่าจะคืนทุน กับลงทุนใน website ที่ P/BV = 5 แต่ปีนึงได้เงินคืนสองเท่า ผมขอ P/BV = 5 ดีกว่า

นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมคนดูจะให้ความสำคัญกับตัว P/E มากกว่า







Friday, July 13, 2012

ซื้อหุ้นอะไรดีระหว่าง ADVANC กับ DTAC กับ TRUE

มีคนที่ผมรู้จักหลายคนสนใจที่จะลงทุนในหุ้นกลุ่มสื่อสารเพราะคิดว่า mobile นั้นคืออนาคต ซึ่งผมก็เห็นด้วยว่าการใช้ mobile technology ในการทำสิ่งต่างๆนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆแล้วก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มต่อไปอีก แต่คำถามที่มักจะมีตามมาก็คือ "แล้วจะซื้อหุ้นตัวไหนหล่ะ"

สัญชาตญาณแรกของผมเลยก็คือซื้อหุ้น ADVANC น่าจะดีที่สุดเพราะตอนนี้เป็นเบอร์หนึ่งในธุรกิจ มีแบรนด์ที่เข็งแกร่งที่สุด มีเครื่อข่ายที่(ในความคิดของหลายๆคน)ดีที่สุด ซึ่งถ้าธุรกิจสื่อสารเติบโตได้ดีจริงๆเงินลงทุนของเราก็น่าจะได้ผลตอบแทนที่ดี แต่เมื่อมาคิดดูดีๆผมว่าเราก็ยังไม่ควรที่จะตัดอีกสองตัวที่เหลือออกไปซะทีเดียว

ที่เขาว่ายิ่งเสี่ยงมากยิ่งได้มากนั้นอาจใช้ได้ในครั้งนี้ การเติบโตของธุรกิจสื่อสารตอนนี้ทำได้หลายทาง 

ทางแรกเลยก็คือการที่ลูกค้าต้องการใช้ data มากขึ้นและเริ่มย้ายกันมาใช้ smart phone ซึ่งตอนนี้ก็มีสัดส่วนที่เปลี่ยนมาใช้เยอะพอสมควรแล้วอาจจะโตอีกได้แค่ประมาณหนึ่งและอันนี้ก็เป็นปัจจัยบวกที่ทั้งสามค่ายน่าจะได้รับพอๆกัน

ยิ่งคนใช้มือถือเพื่อเป็นการรับรู้ข่าวสารและข้อมูลต่างๆรวมถึงการใช้ application ในการทำสิ่งต่างๆมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งสามบริษัทจะสามารถใช้จุดนี้ยกตัวเองขึ้นไปให้เป็นมากกว่าเพียง "ผู้ให้บริการเครือข่าย" มาเป็นบริษัท consumer products หรือ media company ซึ่งตรงนี้ก็ยังไม่ชัดเจนว่าใครจะทำออกมายังไงหรือว่าจะมีใครทำได้รึเปล่า แต่ทั้งสามบริษัทก็มีโอกาสเท่าๆกัน

แต่อันนึงเลยที่จะทำให้ทั้งสามบริษัทโตได้อย่างมากก็คือการเพิ่ม Market Share ซึ่งต้องบอกว่าทั้งสามบริษัทมีโอกาสไม่เท่ากัน เนื่องจาก ADVANCE เป็นเบอร์หนึ่งอยู่แล้วและมี Market Share ที่ค่อนข้างสูงการขยายจึงเป็นไปได้ค่อนข้างจำกัดต่างจาก DTAC และโดยเฉพาะ TRUE ที่ยังสามารถขยายได้อีกมากซึ่งถ้าวันดีคืนดีสองบริษัทนี้สามารถตีตลาดได้ละก็ธุรกิจของเขาก็มีโอกาสที่จะขยายได้อย่างมาก ยิ่งเดี๋ยวนี้การเปลี่ยนเครื่อข่ายทำได้ง่ายกว่าแต่ก่อนมากและยังเก็บเบอร์เดิมไว้ได้ด้วย

โดยส่วนตัวแล้วถ้าจะให้ผมลงทุนผมคงจะซื้อทั้ง ADVANC และ DTAC ด้วยเงินที่เท่าๆกัน เพราะผมคิดว่าในความคิดของหลายๆคน ทั้งแบรนด์และเครือข่ายของ DTAC นั้นไม่ใด้เป็นรอง ADVANC อยู่มากเท่าไหร่ แต่สำหรับ TRUE นั้นถึงแม้ผลตอบแทนอาจจะได้มากถ้าทำสำเร็จแต่ตอนนี้ดูยังจะเสี่ยงเกินไป ถ้ารอให้เริ่มเห็นการ turnaround แล้วค่อยซื้อน่าจะดีกว่า เพราะตอนนี้ในความคิดของใครหลายๆคนเครือข่ายของ TRUE นั้นโดนบ่นจนทุกคนรู้สึกว่ามันแย่มากๆไปแล้ว ถึงแม้ตอนนี้มันอาจจะไม่ได้แย่เหมือนในอดีตก็ตาม

Wednesday, July 11, 2012

เงินซื้อความสุขไม่ได้ แต่ป้องกันความทุกข์ได้

ทุกคนคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า เงินซื้อความสุขไม่ได้ ซึ่งผมก็เห็นด้วยประมาณหนึ่งแต้ถ้าจะบอกว่าเงินไม่สามารถนำมาซึ่งความสุขได้ ผมคงจะไม่เห็นด้วยซะทีเดียว

จริงๆแล้วผมว่าเงินก็ซื้อความสุขได้นะครับ แค่ซื้อได้ไม่เยอะและเป็นความสุขระยะสั้นเท่านั้นเอง อย่างรถแพงๆ บ้านหรูๆการกินของดีๆหรือไปเที่ยวตามที่ต่างๆ สิ่งเหล่านี้ก็สามารถทำให้เรามีความสุขได้แต่มันก็ไม่ได้รู้สึกสุขแบบสุดๆและไม่นานเราก็อาจเบื่อ คล้ายๆกับการเสพสิ่งเสพติดที่เมื่อหมดฤทธิ์ยาเราก็เหลือแต่ความว่างเปล่าและต้องคอยเสพยาอยู่เรื่อยๆเพื่อให้ได้รู้สึกดีอีกครั้งหนึ่ง

แต่สิ่งที่เงินทำได้ดีอย่างหนึ่งเลยคือการป้องกันเราจากความทุกข์ ทุกวันนี้อย่าว่าแต่ความสุขเลยครับแค่พยามหลีกหนีความทุกข์ในชีวิตประจำวันก็เหนื่อยแล้ว ไหนจะต้องรถติด ใช้ชีวิตอย่างเล่งรีบ เครียดกับเรื่องงาน กังวลกับเรื่องค่าเช่าบ้านค่าน้ำค่าไฟค่าผ่อนรถค่าเรียนลูกค่าอาหารค่า...

ซึ่งความทุกข์เหล่านี้เงินสามารถช่วยให้เราหลุดพ้นจากมันได้ และที่ผมคิดว่าเงินสามารถนำมาซึ่งความสุขนั้นไม่ใช่เพราะมันจะสามารถซื้อความสุขได้ แต่มันสามารถจะมอบอิสระให้เราไปตามหาความสุขที่เราต้องการได้

แต่กว่าเรา(ถ้าโชคดี)จะมีเงินพอที่จะเป็นอิสระ เราอาจลืมในจุดนี้ไปแล้วก็ได้ แล้วก็ใช้เวลาที่เหลือพยามหาเงินให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วยความเคยชินและความเชื่อที่ว่ายิ่งมีเงินมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น


Monday, July 9, 2012

จะซื้อหรือขายหุ้น ต้นทุนไม่สำคัญ

ทุกๆครั้งที่ได้ดูรายการวิเคราะห์หุ้นที่เขามีให้คนโทรหรือ sms เข้ามาถามเกี่ยวกับหุ้นตัวต่างๆที่ตัวเองถืออยู่แล้วก็บอกต้นทุน หลังจากนั้นนักวิเคราห์ก็จะแนะนำว่าถ้าต้นทุนเท่านี้ให้ขายถ้าเท่านี้ให้ซื้อหรือถือ ผมก็จะรู้สึกแปลกใจทุกครั้ง เพราะจริงๆแล้วการที่เราจะซื้อขายหรือถือหุ้นที่เรามีอยู่ ราคาต้นทุนของเรานั้นไม่ควรจะมีส่วนกับการตัดสินใจเลย

ผมอาจจะเคยพูดมาหลายครั้ง แต่ผมก็จะขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าการลงทุนในหุ้นนั้นนอกจากเหตุผลแล้วอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันนั้นก็คืออารมณ์ซึ่งเราต้องพยามควบคุมมันให้ได้และอย่าให้มันมาควบคุมเรา

ถ้าเรารู้ 100% ว่าหุ้นจะขึ้นเราจะซื้อเพิ่มไหม? แน่นอนเราก็คงจะซื้อเพิ่ม
ถ้าเรารู้ 100% ว่าหุ้นจะตกเราจะขายไหม? แน่นอนเราก็คงจะขาย

จะเห็นได้ว่าในทั้งสองกรณีนั้นต้นทุนของเราไม่มีผลกับสิ่งที่เราควรจะทำเลย

แต่เราไม่รู้ 100% นิว่าหุ้นจะขึ้นหรือลง?

อันนี้ผมเห็นด้วยครับว่าเราไม่มีทางรู้ได้ แต่ถึงต้นทุนจะสูงหรือต่ำเวลาหุ้นขึ้นหรือลงเราก็กำไรหรือขาดทุนเพิ่มขึ้นเท่าๆกันไม่ได้แตกต่างกันเลย หลายๆครั้งเวลาหุ้นลง เราจะเห็นนักวิเคราะห์แนะนำนักลงทุนที่มีต้นทุนต่ำๆว่าให้ถือได้ไม่เป็นไรธุรกิจยังดีอยู่ แต่ถ้าเป็นคนที่มีหุ้นตัวเดียวกันแต่ต้นทุนสูงก็จะบอกว่าให้ cut loss ไปก่อน ในระยะสั้นอาจจะลงต่อ ซึ่งผมรู้สึกว่ามันเป็นการบรรเทาอารมณ์มากกว่าการซื้อขายด้วยเหตุผล ซึ่งผมก็เข้าใจเพราะการที่ port เราจะเขียวน้อยลง 100 บาท นั้นเราจะรู้สึกแย่น้อยกว่าการที่มันจะแดงขึ้น 100 บาทมากพอสมควร

แต่สิ่งที่นักวิเคราะห์ควรจะถามจริงๆแล้วคือ เงินของนักลงทุนตอนนี้อยู่ในหุ้นกี่เปอร์เซ็นต์และมีเงินสดกี่เปอร์เซ็นต์ เพราะสิ่งนี้ควรจะมีความสำคัญแก่การตัดสินใจว่าจะซื้อ ถือ หรือขายหุ้นที่มีอยู่ เพราะมันจะตัดสินได้ว่าเราจะทำอะไรได้มากแค่ไหนเมื่อเราคาดการณ์ผิด

เนื่องจากเราไม่มีทางรู้ได้ว่าบริษัทที่เรามีหุ้นอยู่จะกิจการดีขึ้นหรือแย่ลง 100% เราก็ควรจะแบ่งเงินสดเก็บไว้มากหรือน้อยตามความมั่นใจของเรา ถ้าเรามั่นใจในกิจการมากก็อาจจะซื้อเพิ่มได้แล้วเหลือเงินสดไว้น้อยหน่อย ถ้าเรามั่นใจไม่มากก็เหลือเงินสดไว้มากหน่อย







Thursday, July 5, 2012

คนเราจะเล่นหุ้นได้ดีขึ้นถ้าตาบอดสี

สิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการเล่นหุ้นก็คือการควบคุมอารมณ์ ถ้าเราปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลเมื่อไหร่แล้วล่ะก็พอร์ตเรามักจะย่อขนาดลงได้อย่างรวดเร็ว เพราะอารมณ์ของเรามักจะบอกให้เราทำในสิ่งที่ผิดอยู่เสมอ

และสิ่งๆหนึ่งที่มักทำให้เราเกิดอารมณ์ต่างๆนาๆได้ก็คือสีแดงๆเขียวๆที่อยู่บนกระดานหุ้นนั่นเอง สีแค่สองสีนี้อาจทำให้เราขาดทุนได้มากอย่างไม่น่าเชื่อ

วันไหนที่กระดานสีแดงอะไรๆก็ดูน่ากลัวไปหมด ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้อาจจะเคยบอกตัวเองอยู่ตลอด ว่าถ้าวันไหนหุ้นตัวนี้ราคาตกมาเท่านี้นะจะขายบ้านขายรถมาซื้อ แต่พอตกลงมาจริงๆ...โอทำไมสีแดงมันช่างน่ากลัวเหลือเกิน ยิ่งแดงทั้งกระดานนี่ยิ่งไม่ต้องพูดกันเลย

หรือถ้ามีหุ้นอยู่ในพอร์ตแล้วราคามันตกนิดหน่อยเป็นสีแดง ยิ่งพอมองตัวเลขติดลบสีแดงแล้วล่ะก็ โอยมันเครียดเหลือเกิน กินไม่เข้านอนไม่หลับเซ็ง ทั้งๆที่ตัวเลขที่ขาดทุนอยู่อาจจะไม่มาก ไปกินข้าวกับเพื่อนๆมื้อเดียวก็เกินแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมมันรับไม่ได้ นั่งจ้องกระดานทั้งวันใช้โทรจิตรให้มันกลับขึ้นไปเป็นสีเขียว (จริงๆสีเหลืองก็เอาแล้ว)

หรือหุ้นบางตัวราคาขึ้นเกินพื้นฐานไปมาก แต่โอยสีเขียวๆมันล่อตาล่อใจเหลือเกิน มันต้องเป็นหุ้นที่ดีแน่ๆเลยไม่งั้นคงไม่ขึ้นไปขนาดนี้หลอก ยิ่งมองก็ยิ่งอยากมีส่วนร่วม ซื้อซะหน่อยดีกว่า


ถ้าคุณพบว่าคุณมีอาการเหล่านี้ ลองทำตัวเองให้ "ตาบอดสี" สักวันสองวันดูนะครับแล้วอาจจะมองอะไรๆได้ชัดขึ้นก็ได้

 


Wednesday, July 4, 2012

ซื้อหุ้น CPF ติดไข้หวัดนกตามไก่ไปเรียบร้อย

จากที่เมื่อวานนี้ซื้อไว้

http://www.stupidstocktrader.com/2012/07/cpf-mexico.html

ตอนนี้ติดไข้หวัดนกตามไก่ไปเรียบร้อย 555 ราคาลงมาอยู่ที่ 34 บาทกว่าๆ

เดี๋ยวถ้าราคาลงจากที่ซื้อไว้ซัก 10% อาจจะซื้อเพิ่ม แต่ตอนนี้ขอไปรักษาไข้ก่อน


Tuesday, July 3, 2012

หุ้น CPF ลงเยอะเพราะข่าวไข้หวัดนกที่จีนและ Mexico เลยซื้อมาเล็กน้อย

เมื่อวานได้ฟังข่าวตอนเย็นว่าเหมือนจะมีไข้หวัดนกระบาดที่จีนกับ Mexico ก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอตื่นมาเมื่อเช้า โอ้โห CPF ตกไปเยอะอยู่ เลยซื้อมาประดับฟอร์ดไว้เล็กน้อยที่ราคา 36.75

จะตายตามไก่รึเปล่าเดี๋ยวคงได้เห็นกัน :)