Tuesday, July 23, 2013

Dairy Queen ยิ่งซื้อขนาดใหญ่ยิ่งแพง???

โพสนี้จะไม่ค่อยเกี่ยวกับหุ้นเท่าไหร่นะครับ ถึงแม้ว่าหุ้น MINT (Minor Group) จะมีธุรกิจที่ผมชอบและสนใจอยู่หลายอย่างซึ่งผมก็ติดตามธุรกิจเหล่านี้คร่าวๆอยู่เรื่อยๆ แต่เหตุผลที่ผมยังไม่ได้ตัดสินใจจะลงทุนในหุ้น MINT นั้นผมคงจะไม่ได้พูดถึงในโพสนี้ แต่วันนี้ผมอยากจะพูดถึง Dairy Queen ซึ่งเป็นบริษัทหนึ่งในเครือของ MINT ครับ (ซึ่งผมก็ชอบไปอุดหนุนอยู่บ่อยๆ)


วันก่อนผมกับเพื่อนเกิดอยากกินไอศครีม Blizzard ขึ้นมาก็เลยแวะไปที่ Dairy Queen ในห้างใกล้ๆ ตอนไปถึงก็คิดอยู่กับเพื่อนว่าเอเราจะซื้อขนาดใหญ่มาแบ่งกันหรือซื้ออันเล็กกินกันคนละอันดี คือจริงๆแล้วอยากกินกันคนละรสด้วยแต่คิดว่าถ้าซื้อแก้วใหญ่น่าจะคุ้มค่ากว่า แต่ปรากฏว่าพอลองมองดูราคาและปริมาณที่ได้ของแต่ละขนาดแล้ว!!!!! อะไรกันนี่!!!

ปรกติการตั้งราคาของร้านค้าและร้านอาหารทั่วไปถ้ายิ่งซื้อขนาดที่ใหญ่ขึ้นก็จะได้ความคุ้มค่าที่มากขึ้น (เพื่อส่งเสริมให้ลูกค้าซื้อเยอะขึ้น) แต่อย่างที่เห็นจากราคาข้างบน เอทำไมยิ่งซื้อขนาดใหญ่ขึ้นยิ่งได้ความคุ้มค่าน้อยลง 

ขนาดเล็กราคา 30 บาทได้ 6.5oz 
ขนาดใหญ่ราคา 59 บาท ได้แค่ 12oz 
ถ้าซื้อขนาดเล็ก 2 อัน ราคา 60 บาท แต่ได้ตั้ง 13oz แพงกว่าแค่ 1 บาท (1.7%) แต่ได้มากกว่าตั้ง 8.3% แถมยังเลือกกินได้ 2 รส (จริงๆวันนั้นขนาดเล็กลดเหลือ 29 บาทด้วย)

หรือถ้าเพิ่มจากขนาดเล็กไปขนาดกลาง เพิ่มเงิน 9 บาท (30%) แต่ได้เพิ่มมาแค่ 1.5oz หรือ 23%

หรือถ้าซื้อขนาดกลาง 2 อัน ราคา 78 บาท ได้ 16oz ซึ่งปริมาณเท่ากับขนาด Take Away ที่ราคา 79 บาท

ผมก็เลยงงเล็กน้อยครับว่าทำไมยิ่งซื้อขนาดใหญ่ความคุ้มค่ายิ่งลดลง ผมคิดว่าน่าจะมีเหตุผลอะไรบางอย่างนะครับถ้าใครทราบจะขอบคุณมากเลยครับเพราะยังสงสัยอยู่ ไม่แน่ใจว่าแก้วขนาดใหญ่แพงกว่ามากรึเปล่า แต่ก็ไม่น่าใช่เพราะคนซื้อขนาดเล็กสองอันก็ต้องเปลืองช้อน กระดาษเช็ดมือสองอัน ยิ่งน่าจะแพงกว่าด้วยซ้ำ แถมเวลาที่ใช้ทำก็ยิ่งนานเป็นสองเท่า


Tuesday, July 16, 2013

หุ้น อิชิตัน Ichitan (ICHI) น่าลงทุนไหม ธุรกิจเป็นยังไง

อีกสักพักบริษัท อิชิตัน ก็จะมีการทำ IPO เข้าตลาดหุ้นภายใต้ตัวย่อ ICHI (ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง) ถ้าผมจำไม่ผิดเห็นคุณตันเคยบอกไว้ว่าน่าจะเป็นวันที่ 11/12/2013 ซึ่งก็เหลืออีกไม่ถึงครึ่งปี วันนี้ก็เลยอยากจะพูดถึงบริษัทนี้เล็กน้อยจากข้อมูลต่างๆที่ผมได้สัมผัสมา คงจะเป็นการพูดถึงคร่าวๆที่ไม่ได้ลงรายละเอียดทางตัวเลขนะครับเพราะตอนนี้คงยังจะเร็วเกินไป

ก่อนอื่นผมได้ฟังสัมภาษณ์ของคุณตันที่พูดถึงเหตุผลที่จะเอาบริษัท อิชิตัน เข้าตลาดหุ้น เห็นเขาบอกมาสามอย่างหลักๆ อย่างแรกคือเอาเงินไปใช้หนี้ธนาคารเพื่อจะได้ลดค่าใช้จ่ายทางด้านดอกเบี้ยที่มีอยู่ตอนนี้ ซึ่ง ณ ตอนนี้น่าจะเป็นปีแรกที่บริษัทกลับมามีกำไร ถ้าไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยบริษัทน่าจะมีกำไรมากขึ้นอีก ซึ่งจุดนี้ก็เป็นเหตุผลที่เข้าใจได้ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นเหตุผลที่นักลงทุนอาจจะได้ยินมากที่สุด เพราะการใช้หนี้ดอกเบี้ยนั้นเป็นแค่ One Time Gain คือสมมุติตอนนี้ต้องจ่ายดอกเบี้ยอยู่ปีละ 20 ล้านบาทก็จะไม่ต้องจ่ายแล้วแต่มันก็จบอยู่แค่นั้นไม่ได้เป็นการลงทุนที่งอกเงยขึ้นเรื่อยๆ

อย่างที่สองคุณตันบอกว่า "อาจจะ" ซื้อเครื่องจักรเพิ่ม ซึ่งตอนสร้างโรงงานคุณตันบอกว่าได้เผื่อพื้นที่สำหรับลงเครื่องจักรเพิ่มเอาไว้แล้ว ถ้าเอาเงินไปลงตรงนี้จริงๆเพราะว่าตอนนี้ขายดีจนเกินกำลังการผลิตก็คงจะเป็นสิ่งที่นักลงทุนทุกคนต้องการ แต่ฟังจากน้ำเสียงและการพูดของคุณตันแล้วดูเหมือนตรงนี้จะไม่ใช่เหตุผลหลัก

เหตุผลสุดท้าย และอาจจะเป็นเหตุผลที่น่ากังวลที่สุดสำหรับนักลงทุนคือเมื่อคุณตันพูดว่า "ผมยืมเงินภรรยามา 2,000 ล้าน มาลงที่บริษัท อิชิตัน ก็ต้องเอาเงินไปคืนภรรยาด้วย" อืมอันนี้ความหมายตรงๆเหมือนจะเป็น "ผมลงเงินไป 2,000 ล้านก็จะขอถอนทุนคืน" ซึ่งผมก็แปลกใจที่เขาพูดออกมาค่อนข้างตรงๆแบบนี้ หรืออาจเห็นว่าเมื่อเข้าตลาดหุ้นแล้วตัวเลขการเงินออกมายังไงทุกคนก็ต้องเห็นอยู่ดี ซึ่งผมก็ไม่โทษคุณตันหรอกที่ทำแบบนี้ ถ้าผมเองเป็นเจ้าของบริษัทที่อยู่ในธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงมากและยังไม่รู้ว่าบริษัทของเราท้ายที่สุดแล้วจะเป็นผู้ชนะหรือเปล่า ผมก็คงจำกัดความเสี่ยงโดยการ Cash In บางส่วนก่อนแล้วก็เก็บหุ้นไว้อีกส่วนหนึ่ง ทีนี้ถึงบริษัทจะแพ้คู่แข่งเราเองก็ยังได้เงินคืนมาแล้ว ส่วนถ้าบริษัทชนะเราก็ยังเป็นเจ้าของอยู่ส่วนหนึ่ง เรียกว่า Win Win แต่ในฐานะของนักลงทุนธรรมดาคงต้องมองความเสี่ยงต่างกัน เพราะถ้าบริษัทเจ๊งเราก็จะไม่เหลืออะไรเลย


ทีนี้มาดูในส่วนของธุรกิจของอิชิตันกันบ้าง ผมเชื่อว่าทุกๆคนก็คงคุ้นเคยกับธุรกิจของเขาในระดับนึง พูดง่ายๆก็คือโออิชิทำอะไรอิชิตันก็ทำตรงนั้นแหละโดยที่พยามจะทำให้ดีกว่าเหมือนกับว่ามีความแค้นส่วนตัวกันมาก่อน (เอหรือว่าจะมี)

ส่วนแรกแน่นอนก็คือฝ่ายเครื่องดื่มซึ่งต้องบอกว่าตอนนี้มาแรงจริงๆ ยอดขายเรียกว่าขึ้นมาเทียบกับโออิชิได้อย่างรวดเร็ว และตอนนี้ด้วย Promotion แรงๆเห็นคุณตันบอกว่าจากที่เคยมีขายอยู่ใน 40% ของร้านค้าทั้งหมดตอนนี้เพิ่มขึ้นมาเป็น 70% กว่าแล้วซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับบริษัท แต่สำหรับนักลงทุนอาจจะต้องดูว่าถ้าตอนนี้มีขายอยู่ใน 70% กว่าของร้านค้าแล้วจะเหลือพื้นที่ให้โตไปได้อีกแค่ไหน ถ้าโตจากพื้นที่การขายไม่ได้แล้วก็ต้องโตโดยแย่ง Market Share จากแบรนด์อื่นๆ ซึ่ง ณ ตอนนี้ที่อิชิตันมี Promotion แรงขนาดนี้และกระแสของตัวคุณตันก็ดี ลูกค้าที่ยังไม่ยอมดื่มอิชิตันอีกก็ไม่รู้ว่าจะมาเลือกดื่มตอนไหน เพราะฉะนั้นจากนี้ Market Share จะโตได้อีกแค่ไหนก็อาจจะต้องดูดีๆ

ในขณะที่ฝ่ายเครื่องดื่มเป็นพระเอก ฝ่ายร้านอาหารของอิชิตันตอนนี้ยังไม่โดดเด่นเท่าไหร่ และตอนนี้ยังมีอยู่ไม่กี่สาขา ถ้าใครเคยไปกินร้านอาหารของอิชิตันคงจะทราบว่าก็เป็นเหมือนของโออิชิ คือเป็นบุฟเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่น แต่เหมือนคุณตันจะพยายามทำให้ดีกว่าในราคาที่เท่าๆหรือถูกกว่า  คือของจะใช้ดีกว่าหน่อย อาหารก็ไม่ต้องเดินไปตักเองแต่จะเป็นแบบสั่งเอาแล้วทำกันสดๆหมด ซึ่งผมก็เคยไปกินมาสองสามครั้งก็รู้สึกชอบมากกว่าร้านของโออิชิ และที่สำคัญขายดีมากทุกสาขา ผมจึงแปลกใจมากเมื่อได้พูดคุยกับเพื่อนที่ทำงานอยู่ในฝ่ายนี้ว่ากำไรแค่พออยู่ได้แต่ก็เหนื่อย (อันนี้คำพูดของเขา) คือในร้านอาหารแบบนี้ Margin ก็จะค่อนข้างน้อยอยู่แล้ว แต่เนื่องจากพยายามจะทำให้ดีกว่าของโออิชิจึงทำให้ Margin น้อยเข้าไปอีก และปัญหาที่ตามมาก็คือไม่สามารถจ้างพนักงานเยอะเกินไปเพราะจะทำให้ไม่คุ้ม และเนื่องจากร้านจะทำทุกอย่างสดๆบวกกับเป็นแบบสั่ง คือพนักงานจะต้องเอาของไปเสริฟทุกอย่าง จึงทำให้งานโหลดมาก ทั้งพนักงานเสริฟและคนทำอาหาร (เห็นบอกว่าปั้นซูชิกันจนมือหงิก)

ถ้ามองในแง่ดีก็อาจจะมองได้ว่าฝ่ายร้านอาหารยังมีโอกาสโตได้อีกเยอะ ถ้าจัดระบบให้ได้เข้าที่เข้าทางกว่านี้เพื่อให้ได้ Margin ที่ดีขึ้น และก็ยังเหลือพื้นที่ให้ขยายได้อีกเยอะเพราะตอนนี้ยังมีอยู่ไม่กี่สาขา แต่สำหรับผมตลาดธุรกิจร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อสี่ห้าปีก่อนแล้ว ตัวเลือกและราคาจากร้านอื่นๆมีมากมาย ขนาดร้านของโออิชิเองที่อยู่ตามที่ต่างๆก็ไม่ได้ขายดีเท่าไหร่ การที่ร้านอิชิตันจะขยายได้อย่างประสบความสำเร็จนั้นไม่ใช่ง่ายและคู่แข่งหลักก็คงไม่ใช่จากร้านของโออิชิซะด้วย

แต่ความเสี่ยงสูงสุดของการลงทุนใน Ichitan นั้นผมมองว่ามาจากตัวของคุณตันเอง การที่แบรนด์ของบริษัทถูกผูกติดไว้มากกับตัวคุณตันนั้นเป็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน ต้องยอมรับว่า ณ ตอนนี้หลายๆคนที่อุดหนุนอิชิตันและเปลี่ยนจากดื่มโออิชิมาดื่มอิชิตันเป็นเพราะความชื่นชอบในตัวคุณตัน เรียกว่าการทำมาร์เก็ตติ้งนั้นโปรโมทตัวคุณตันพอๆกับโปรโมทแบรนด์อิชิตันเลย ซึ่งถ้าวันไหนวันหนึ่งเกิดมีข่าวอะไรที่กระทบกับภาพลักษณ์ของคุณตัน หรือเขาพลาดไปทำอะไรที่ทำให้เสียภาพพจน์แล้วล่ะก็ ธุรกิจอาจได้รับความเสียหายอย่างมากเพียงชั่วข้ามคืน ซึ่งเราก็เคยเห็นมาแล้วกับผู้มีชื่อเสียงหลายๆคน บวกกับที่ผ่านมาการที่ใช้วิธีมาร์เก็ตติ้งแบบนี้ก็ทำให้มีคน "หมั่นไส้" คุณตันไม่น้อยอยู่เหมือนกันซึ่งคนเหล่านี้ก็คงพร้อมซ้ำเติมอยู่แล้วถ้าเกิดอะไรแบบนี้ขึ้นมา


Wednesday, May 29, 2013

หุ้น M ดีไหม สุกี้ร้านนี้น่าลงทุนรึเปล่า

อีกไม่นานเครือร้านอาหารสุกี้ MK ก็กำลังจะเปิดขาย IPO เข้ามาในตลาดหุ้น โดยซื้อขายกันภายใต้ตัวย่อ M (เปลี่ยนจาก MKG) หุ้นตัวนี้เป็นตัวหนึ่งที่ผมค่อนข้างสนใจมากพอสมควร ที่สนใจนี้ไม่ได้หมายความว่าน่าซื้อนะครับ อันนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจ แต่ที่สนใจเพราะว่าโดยปรกติผมเป็นคนชอบบริษัทที่อยู่ใกล้ตัวอยู่แล้ว ยิ่งได้เห็นได้สัมผัสได้ใช้สินค้าหรือบริการของเขาอยู่ทุกวันยิ่งดี เพราะจุดนี้เป็นองค์ประกอบหลักที่สำคัญมากๆอันนึงเลยเวลาที่ผมจะตัดสินใจลงทุนในบริษัท

เพราะฉะนั้นเราลองมาคิดถึงธุรกิจของ M กันดูก่อนดีกว่า ณ วันนี้บริษัทมีธุรกิจหลักคือร้านอาหารอยู่ 2 chain คือ MK กับ Yayoi ถ้าย้อนกลับไปซัก 5-6 ปีก่อนทุกๆช่วงเวลาทานมื้อกลางวันกับเย็นมั่นใจได้เลยว่าหน้าร้าน MK จะมีคนนั่งคิวกันยาวเหยียดเพื่อรอโต๊ะ (รวมถึงร้าน Fuji ด้วยที่ส่วนใหญ่จะเห็นคิวยาวคู่กัน) แต่ทุกวันนี้ธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทยดูเหมือนจะพัฒนาไปมาก ทั้งตัวเลือก ประเภท ราคา และรูปแบบร้านอาหารเดี๋ยวนี้มีมากกว่าแต่ก่อนมาก จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เดี๋ยวนี้คนกิน MK น้อยลง แต่ก็ยังขายดีอยู่นะครับคนก็แน่นร้านตลอดแค่ไม่ได้แย่งกันเข้าร้านเหมือนแจกฟรีหรือต้องมานั่งคิวนานๆเพราะตัวเลือกอื่นก็มี

กลุ่มร้านหลักประเภทหนึ่งเลยที่ผมว่าดึงลูกค้าไปจาก MK คือกลุ่มร้านบุฟเฟ่ต์ชาบู (อย่าง Hotpot ชาบูชิ ซูกิชิ) กลุ่มร้านเหล่านี้ขายอาหารที่คล้ายกับของ MK มากแต่กินได้ไม่อั้น รวมทั้งน้ำและของหวาน แถมราคายังแค่ประมาณ 250-350 บาท ต่อคน ซึ่งถ้าผมไปกิน MK ปรกติราคาจะออกมาแพงกว่านี้อีก กลุ่มคนที่ชอบความ "รู้สึก" คุ้มค่าจึงเลือกที่จะไปกินร้านเหล่านี้แทน แต่ MK ก็ยังมีจุดแข็งที่เหนือกว่าอยู่หลายอย่าง คือสะอาด อาหารดูสดกว่า นั่งสบายไม่วุ่นวาย และการบริการนี่ต้องขอชมเป็นพิเศษร้านหรูๆหลายร้านต้องอาย (จากประสบการณ์ส่วนตัว) โค้งแล้วโค้งอีกจนผมเขินเลย ด้วยเหตุผลเหล่านี้ทำให้ถ้าผมต้องเลือกที่จะไปกินสุกี้ผมก็ยังชอบไปกิน MK มากกว่า

โอเคเราอาจจะต้องยอมรับว่า MK ขายดีน้อยลงจากเมื่อก่อน แต่จริงๆแล้วประเด็นนั้นผมว่ายังไม่ค่อยสำคัญเท่าไหร่ แต่ที่สำคัญคือตอนนี้และในอนาคตแนวโน้วเป็นยังไง ซึ่งตอนนี้ผมว่ายอดขายของ MK แต่ละสาขาก็ค่อนข้างอยู่ตัวแล้วและก็นับว่ายังขายดีอยู่ กลุ่มลูกค้าได้แบ่งกันชัดเจนแล้วว่าใครชอบสุกี้แบบธรรมดาหรือแบบบุฟเฟ่ต์ และข้อดีคือสำหรับใครที่ชอบสุกี้แบบธรรมดาดูเหมือน MK จะไม่มีคูแข่งเลย มองไปในอนาคตร้านสุกี้ส่วนใหญ่ที่เปิดขึ้นมาใหม่ก็เห็นจะใช้แต่ model แบบบุฟเฟ่ต์กันหมดซึ่งก็ไม่น่าจะกระทบกับยอดขายของ MK แล้วแต่จะไปแย่งลูกค้ากันเองกับร้านบุฟเฟต์จ้าวอื่นมากกว่า แนวโน้วในอนาคตผมจึงคิดว่ายอดขายต่อสาขาของ MK น่าจะทรงตัวอยู่ที่ระดับนี้ ไม่เพิ่มหรือลดซักเท่าไหร่

ทีนี้เราลองมาดูทาง Yayoi กันบ้าง ตอนเปิดใหม่ๆดูจะน่าเป็นห่วงอยู่พอสมควร ทุกสาขาที่ผมเคยผ่านเมื่อปีที่แล้วตอนต้นปีคนค่อนข้างโล่งมาก แต่ตอนนี้ติดตลาดแล้วเรียกว่าขายดีเลยทีเดียวเดินผ่านคนก็คึกคักตลอด positioning เขาผมว่าดีมาก ไม่มีคูแข่งโดยตรง เป็นอาหารญี่ปุ่นแบบตามสั่งราคาถูกแค่ 100 กว่าบาทก็กินได้ ราคาเท่ากับไปกิน KFC หรือ Mac เลย สำหรับ chain นี้ผมว่าถ้ายังไม่มีคู่แข่งใหม่ๆเข้ามาที่ชนกันโดยตรงยอดขายต่อสาขาก็น่าจะเหมือน MK คือค่อนข้างทรงตัวอยู่ที่ระดับนี้

การขยายตัวของธุรกิจ

มาถึงประเด็นสำคัญ "แล้วธุรกิจนี้จะโตไปได้อีกแค่ไหน" สำหรับ MK การที่ยอดขายและกำไรจะโตได้นั้นคงจะต้องพึ่งการขยายสาขาไปเรื่อยๆ ซึ่งตอนนี้ห้างทุกห้างและ community mall ก็มี MK อยู่แล้วเพราะฉะนั้นอัตราการเติบโตคงจะโตได้ตามการขยายตัวของ modern trade เท่านั้น ซึ่งถ้าเฉลี่ยในระยะยาวผมว่าได้สิบกว่าเปอร์เซ็นต่อปีก็เก่งแล้ว เพราะต้องอย่าลืมด้วยว่าการเพิ่มสาขาแต่ละครั้งไม่ได้ได้ลูกค้าใหม่ทั้งหมด จาก 100 คนที่มากินที่สาขาใหม่ หลายๆคนอาจจะเป็นลูกค้าเก่าอยู่แล้วที่ตอนนี้เปลี่ยนมากินสาขาที่ใกล้ขึ้นเท่านั้นเอง

ทางด้านของ Yayoi ก็เหมือนกัน เดี๋ยวนี้จะเห็นว่าเวลาเปิดสาขาใหม่ MK กับ Yayoi จะเปิดกันเป็นคู่ แต่ Yayoi มีโอกาสขยายได้มากกว่าพอสมควรเพราะตอนนี้ยังมีอยู่แค่เกือบ 100 สาขาในขณะที่ MK มีอยู่ถึง 300 กว่าสาขา เพราะฉะนั้นในช่วงแรกนี้ Yayoi ยังสามารถแร่งขยายไปในพื้นที่ที่ตอนนี้ MK อยู่แต่ยังไม่มี Yayoi แต่ในระยะยาวเมื่อขยายเสร็จแล้วอัตราการเติบโตก็คงลดเหลือแค่เท่ากับของ MK คือไม่น่าจะเกินสิบกว่าเปอร์เซ็นต่อปี

ส่วนการขยายตัวต่างประเทศนั้นผมคิดว่าเราน่าจะมองเป็นเหมือน bonus มากกว่าแต่อย่าไปพึ่งความหวังไว้กับมัน เรื่องของรสนิยมอาหารการกินนั้นเป็นอะไรที่เดายากมากๆ เราก็เห็นกันมาบ่อยมากแล้วที่ chain ร้านอาหารที่ฮิตมากในประเทศนึงพอไปเปิดประเทศอื่นๆแล้วกลับเจ๊งไม่เป็นท่า และที่สำคัญร้านในต่างประเทศนั้นเป็นอะไรที่ห่างหูห่างตา (อย่างน้อยสำหรับผมที่ไม่ได้เดินทางบ่อยมาก) จึงเป็นอะไรที่ติดตามค่อนข้างยากว่าธุรกิจเป็นยังไง แน่นอนถ้าเกิดร้านอาหารของ M ไปติดตลาดที่ต่างประเทศธุรกิจนั้นจะสามารถขยายได้อีกมหาศาล อันนี้ก็ถือว่าโชคดีไป แต่ถ้าจะฝากความหวังไว้กับเหตุผลนี้ตอนลงทุนผมว่ามันก็อาจจะเสี่ยงเกินไป

ทีนี้ลองมาดูตัวเลขคร่าวๆกันนิดนึง ถ้าดูระดับหนี้สินต่อกำไรแล้วผมว่าโอเคไม่สูงมาก แต่ตัวที่บริษัทน่าจะอยากให้นักลงทุนดูมากที่สุดคงจะเป็นการเติบโตของกำไรจากปี 54-55 ที่สูงถึงเกือบ 20% ถ้าคิดว่า M จะโตต่อไปได้ในอัตรานี้เรื่อยๆนักลงทุนก็อาจให้ราคา PE ของหุ้นที่ค่อนข้างสูงทีเดียว เพราะถ้าโตขนาดนี้ต้องถือว่าเป็น growth stock ที่ดีมากๆอันนึง แต่ด้วยเหตุผลต่างๆที่บอกไปแล้วผมไม่คิดว่า M จะโตได้ในอัตรานี้ไปอีกนานเท่าไหร่ อีกเหตุผลหนึ่งที่ปีที่แล้วกำไรอาจจะโตขึ้นเยอะกว่าปรกติอาจเป็นเพราะว่าปีที่แล้ว Yayoi เริ่มติดตลาดขึ้นมาพอดีเลยทำให้รายได้โตขึ้นอย่างเก้ากระโดดแต่ตอนนี้ยอดขายก็น่าจะเริ่มอยู่ตัวแล้ว

แล้วตกลงน่าลงทุนไหม?

โดยรวมแล้วผมคิดว่า M เป็นบริษัทที่มีระบบและกิจการที่ดีบริษัทหนึ่ง ถ้าถามว่าอยากเป็นเจ้าของไหมผมก็คงต้องตอบว่าอยาก แต่จะลงทุนซื้อหุ้นตัวนี้หรือไม่นั้นประเด็นสำคัญคงจะต้องอยู่ที่ราคา ผมไม่คิดว่าบริษัท M ณ ตอนนี้จะโตมากขนาดที่ให้ราคาแบบ super growth stock ได้ น่าจะเป็นบริษัทที่มีกิจการดี มีฐานลูกค้าที่ค่อนข้างมั่นคงและก็โตไปได้เรื่อยๆตามขนาดเศรษฐกิจ และ modern trade อาจคล้ายๆบริษัท blue chip ย่อยๆบริษัทหนึ่ง แต่มีข้อดีมากกว่าตรงอัตราการเติบโตที่น่าจะดีกว่าและที่สำคัญยังใกล้หูใกล้ตาถ้าเกิด trend เล่มเปลี่ยนหรือมีคู่แข่งใหม่เข้ามาที่น่ากลัวเราก็น่าจะเห็นได้ค่อนข้างเร็ว

มองรวมๆด้วยเหตุผลต่างๆแล้วถ้าหุ้นราคา PE สักสิบกว่าๆนี้ต้องถือว่าน่าสนใจเลยทีเดียว แต่ถ้า PE ใกล้ 20 หรือมากกว่าหน่อยนั้นอาจจะต้องเริ่มคิดหนักขึ้น เพราะที่ราคานี้ถ้าจะบอกว่าถูกนั้นคงไม่ใช่แน่นอนถ้าจะให้ลงทุนจริงๆอาจจะลงทุนแค่ส่วนหนึ่งของจำนวนที่ตั้งใจไว้ แต่ถ้า PE 25 หรือมากกว่านั้นนี่ผมคงต้องขอรอดูผลประกอบการไปอีกซักระยะนึงก่อนว่าจะโตไปได้แค่ไหน

แต่ถ้าดูจากสภาวะตลาดตอนนี้แล้ว บวกกับการที่ M เป็นแบรนด์ที่ใครๆก็รู้จักและมีคนสนใจเยอะ ผมคิดว่าราคาที่ PE 30 ขึ้นไปตอนช่วง IPO อาจมีให้ได้เห็นแน่นอนซึ่งราคานี้ผมคงไม่กล้าลงทุน


ปล. มีหลายคนที่สงสัยว่าการ IPO นี้เป็นการ cash out ของบรรดาเจ้าของรึเปล่า เพราะตอนนี้ธุรกิจก็เริ่มที่จะอิ่มตัวแล้วบวกกับตอนนี้ที่ราคาตลาดหุ้นกำลังอยู่สูงน่าจะได้ราคาดี พูดกันจริงๆผมเองก็คิดเหมือนกัน เพราะถ้า M IPO เพื่อต้องการเงินไปลงทุนจริงๆก็น่าจะทำตอนช่วงที่บริษัทขยายตัวเยอะๆ หรือตอนที่จะเริ่มเปิด Yayoi ยังดูจะสมเหตุสมผลมากกว่า แต่นี่ทุกอย่างก็ลงทุนไปจนอยู่ตัวหมดแล้ว การจะขยายสาขาไปต่างประเทศก็เป็นการค่อยๆไปเปิดร้านอาหารแค่ไม่กี่สาขา เทียบกับขนาดบริษัทตอนนี้น่าจะมีเงินทุนเหลือเพืออยู่แล้ว แต่ถ้าพูดกันจริงๆ M คงไม่ใช่บริษัทแรกและบริษัทสุดท้ายที่จะเข้าตลาดด้วยเหตุผลนี้ (จริงๆแล้วออกจะหลายบริษัทด้วยซ้ำที่ทำแบบนี้)

Wednesday, March 27, 2013

หุ้นกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน BTSGIF ดีไหม

ตอนนี้ผมเชื่อว่านักลงทุนหลายๆคนคงได้เห็นสื่อโฆษณาชักชวนให้มาลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน BTSGIF ที่กำลังจะออกมาจำหน่าย โดยจุดเด่นหลักที่โฆษณาพยามจะเสนอคือการเปรียบเทียบข้อดีของ BTSGIF เทียบกับการฝากเงินระยะยาวกับธนาคาร ว่าได้ดอกเบี้ยมากกว่า จ่ายปีละ 4 ครั้ง และยังได้รับการยกเว้นภาษีอีก 10 ปี โอ้โหดีกว่าขนาดนี้ซื้อได้เมื่อไหร่เนี่ย!!!

แต่ก่อนที่คุณจะรีบไปถอนเงินทั้งหมดจา่กบัญชีเพื่อมาซื้อกองทุนอันนี้ผมว่าอย่างน้อยทุกคนควรจะรู้ก่อนว่ากำลังซื้ออะไรกันแน่

อย่างแรกเลยที่ผมอยากจะบอกก็คือการลงทุนในกองทุนอันนี้ไม่เหมือนการฝากระยะยาวแม้แต่นิดเดียวสิ่งที่คุณจะได้เมื่อซื้อกองทุนอันนี้คือสิทธิ์ในกำไรของ BTS สองสายแรกที่สร้าง ซึ่งจะเป็นจากสนามกีฬาแห่งชาติถึงสะพานตากสินกับหมอชิตถึงอ่อนนุชเป็นเวลาเพียงแค่ 17 ปี เมื่อถึงเวลานั้นกองทุนก็จะปิดลง เพราะฉะนั้นสิ่งแรกเลยที่กองทุนนี้แตกต่างจากการฝากเงินก็คือเมื่อครบ 17 ปีแล้วเงินต้นของคุณจะเป็น 0 เงินที่คุณจะได้คืนมามากเท่าไหร่นั้นขึ้นอยู่กับว่าในอีก 17 ปีข้างหน้า BTS สองสายนี้จะทำกำไรได้เท่าไหร่ เพราะฉะนั้นเวลาที่โฆษณาบอกว่าจะได้เงินปันผลเท่านั้นเท่านี้แล้วเป็น % ที่สูงกว่าดอกเบี้ยของการฝากระยะยาวคุณต้องอย่าลืมว่ามันเทียบกันตรงๆไม่ได้เพราะการฝากเงินนั้นคุณได้เงินต้นคืน

ทีนี้เรามาดูตัวเลขคร่าวๆกันหน่อยละกันนะครับ จากข้อมูลที่ทางกองทุนให้มาตอนนี้ BTS สองสายนี้มีกำไรอยู่ประมาณปีละ 3,500 ล้านบาท จำนวนหุ้น BTSGIF ที่จะนำออกมาขายทั้งหมดมี 5,788 ล้านหุ้น เท่ากับว่า ณ ตอนนี้กำไรต่อหุ้นอยู่ที 0.6 บาทต่อปี สมมุติว่ากำไรของสองสายนี้คงที่ไม่เพิ่มไม่ลดไป 17 ปี จะเท่ากับว่าได้เงินคืนมาทั้งหมด 10.2 บาทต่อหุ้น แต่ราคาที่จะเสนอขายอยู่ที่หุ้นละ 10.4-10.8 บาท เท่ากับว่าถ้ากำไรเท่านี้ผู้ลงทุนจะขาดทุนนิดนึง 

สมมุติว่าคุณซื้อหุ้นได้ที่ราคา 10.4 บาท ถ้าคุณเอาเงินจำนวนนี้ไปฝากแบงค์ระยะยาว 17 ปี ผมตีดอกเบี้ยแบบต่ำๆที่ 4% พอครบ 17 ปีคุณจะมีเงิน 20.26 บาท ถ้าจะให้ได้ผลตอบแทนเท่ากัน BTSGIF ต้องได้กำไรเฉลี่ยปีละ 1.19 บาทต่อหุ้น หรือโดยรวมประมาณ 6,898 ล้านบาทต่อปี หรือโดยเฉลี่ยต้องได้กำไรสองเท่าของที่ได้อยู่ ณ ปัจจุบัน

อืม...ถ้ากำไรเพิ่มขึ้นทุกๆปี ปีละ 10% ก็คงได้นะครับ แต่ผมนึกว่าเป้าหมายของกองทุนพวกนี้คือการลงทุนในกิจการที่มีความเสี่ยงน้อยและได้ปันผลสม่ำเสมอให้เป็นตัวเลือกแทนการฝากเงินระยะยาวไว้ในธนาคาร ซึ่งผมยอมรับว่ากิจการนี้มีความเสี่ยงที่จะเจ๊งน้อยมาก แต่เหมือนความเสี่ยงในการลงทุนแค่ถูกย้ายไปอยู่ที่ว่ากองทุนจะทำกำไรได้ทันในระยะเวลาที่กำหนดรึเปล่า ซึ่งเมื่อพิจารณาส่วนนี้ด้วยแล้วผมว่ามีหุ้นอีกหลายตัวที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า เพราะถึงแม้กิจการอาจจะมีความเสี่ยงสูงกว่า แต่ก็ไม่มีความเสี่ยงเรื่องเวลาที่จำกัด


Sunday, February 10, 2013

อย่าซื้อหุ้นเพราะคิดว่าราคาจะขึ้นแต่ซื้อหุ้นที่ราคาตกแล้วไม่เป็นอะไร

ซื้อหุ้นที่ราคาไม่ขึ้นแล้วจะซื้อไปทำไมหล่ะ? แน่นอนทุกคนย่อมอยากจะเห็นการลงทุนของตัวเองงอกเงยเพิ่มขึ้นซึ่งก็รวมทั้งตัวผมด้วย และสิ่งที่เราสามารถมองเห็นได้ง่ายที่สุดที่เป็นการชี้วัดก็คือตัวเลขเขียวๆในพอร์ตของเรา แต่การที่จิตใจของเราจดจ่ออยู่กับราคาหุ้นมากเกินไปนั้นอาจส่งผลเสียกับชีวิตการลงทุนของเราได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ทั้งในการตัดสินใจซื้อขายหุ้นและความเครียดที่เกิดขึ้นเมื่อราคาหุ้นไม่ขึ้นหรือลงตามที่เราคาด

ถ้าทุกวันนี้คุณรู้สึกเครียดเมื่อราคาของหุ้นที่คุณมีอยู่ตก หรือคุณต้องเปิดดูราคาหุ้นทุกๆ 30 วินาทีแล้วต้องจ้องมองทั้ง ticker graph ราคา และ volume เพื่อพยามตีความหมายที่อาจซ่อนอยู่ในสิ่งเหล่านี้จนคุณรู้สึกปวดหัวและสับสน การลองเปลี่ยนมามองหาหุ้นที่เราลงทุนแล้วราคาตกไม่เป็นไร แทนที่จะพยามมองหาหุ้นที่ซื้อแล้วราคาจะขึ้นนั้น อาจทำให้คุณมีความสุขกับชีวิตการลงทุนมากขึ้นรวมถึงประสบความสำเร็จมากขึ้นด้วย

ปรกติผมจะเป็นคนที่ค่อนข้างมองโลกในแง่ร้าย เวลาจะลงทุนในบริษัทไหนผมจะคิดไว้เสมอว่าเดี๋ยวพอผมซื้อปุ้บราคาจะตกทันที และด้วยความโชคดีสุดๆของผมมันก็มักจะเป็นอย่างนั้นอยู่ทุกครั้ง เพราะอย่างนั้นก่อนที่ผมจะลงทุนในบริษัทไหนผมจะถามตัวเองก่อนว่าถ้าซื้อหุ้นแล้วพรุ่งนี้ราคาตกลงไป 50% ผมยังจะ happy อยู่ไหม หรือถ้าซื้อแล้วพรุ่งนี้ตลาดหุ้นถูกปิดอย่างไม่มีกำหนดแล้วผมจะเป็นเจ้าของบริษัทนี้ไปตลอดผมจะ happy ไหม เมื่อคิดอย่างนี้แล้วผลพลอยได้อย่างแรกที่ตามมาก็คือเราจะให้ความสำคัญกับตัวธุรกิจหรือ product ของบริษัทอย่างมาก ว่าเราต้องมีความมั่นใจในตัวบริษัทและอนาคตของบริษัทที่เราจะลงทุนจริงๆ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ควรจะทำอยู่แล้วแต่หลายๆครั้งเราอาจโดนสีเขียวๆแดงๆของราคาทำให้ไขว้เขว ไม่ใช่ว่าราคาที่เราซื้อจะไม่มีความสำคัญนะครับแต่มันไม่ใช่ปัจจัยหลักในการตัดสินใจ หลังจากที่เจอบริษัทที่เราอยากเป็นเจ้าของแล้วค่อยมาดูว่าเราพอใจที่จะซื้อมาที่ราคาเท่าไหร่ซึ่งไม่จำเป็นต้องถูกมากก็ได้ แค่เป็นราคาที่เราคิดว่ายุติธรรม

ผลพลอยได้อีกอย่างก็คือเราจะสามารถถือหุ้นได้อย่างสบายใจมากขึ้น เพราะเราได้ธุรกิจที่เราต้องการมาในราคาที่เราพอใจแล้ว อันนี้คล้ายกับเวลาที่ผมอยากได้ของชิ้นหนึ่ง ยกตัวอย่างสมมุติผมอยากได้รองเท้าคู่หนึ่งที่ผมคิดว่าใส่สบายมาก ตอนที่พึ่งออกมาใหม่ราคาอาจจะอยู่ที่ 5,000 บาท ผมอาจจะคิดว่าราคานี้ไม่คุ้มกับความสบายที่จะได้มายอมใส่คู่เก่าขาดๆไปก่อนก็ได้ ผ่านไปสักพักราคาอาจลดมาเหลือ 3,000 บาทซึ่งผมคิดว่าเป็นราคาที่สมเหตุสมผล ผมจึงซื้อมาใส่แล้วก็พอใจกับมันมาก ทีนี้ผ่านไปอีกซักพักมีเพื่อนมาบอกว่า "ดูซิฉันพึ่งไปงาน super sale ซื้อคู่เดียวกับนายมาแค่ 1,500 บาทเอง" ผมคงไม่รู้สึกแย่เท่าไหร่เพราะผมก็พอใจกับราคาที่ผมได้มาแล้วก็คงยินดีกับเพื่อนที่ได้มาในราคาที่คุ้มค่า แต่ถ้าผมมัวแต่รอก็ไม่รู้มาจะมีงาน super sale รึเปล่าและถ้ามีก็ไม่รู้ว่าจะยังมี size ของผมเหลืออยู่รึเปล่า

สุดท้ายแล้วอันนี้ก็เป็นเพียงแค่ mindset หรือแง่คิดในการลงทุนอันหนึ่งเท่านั้นนะครับ ซึ่งถ้าใครอยากลองเอาไปใช้ดูก็ได้ครับ (เพราะผมไม่ขอรับผิดชอบใดๆทั้งสิ้นกับความเสียหายที่อาจตามมาในการลงทุนของท่าน :p )

Wednesday, January 2, 2013

ผลกระทบนโยบายรถคันแรกกับหุ้นและการลงทุนใน 1-3 ปีข้างหน้า

ในปีที่แล้ว (2012) สิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อว่าหลายๆคนต้องได้สัมผัสคือปรากฏการณ์ลดภาษีรถคันแรก ไม่ว่าจะได้ใช้เองหรือมีคนรอบข้างที่รู้จักได้ใช้ ต้องยอมรับว่าเป็นกระแสที่มาแรงจริงๆซึ่งก็
เห็นได้จากสถิติจำนวนรถป้ายแดงที่ออกมาใหม่ ผมเลยอยากลองมาคิดวิเคราะห์เล่นๆว่ามันจะมีผลกระทบต่อเศษฐกิจและการลงทุนอย่างไรบ้างใน 1-3 ปีข้างหน้า วิเคราะห์กันแบบขำๆนะครับ :)

ข้อแรก...มาม่าน่าจะขายดีในอนาคตอันใกล้ ถ้าลองคิดถึงนิสัยการใช้เงินของคนส่วนใหญ่แล้วผมว่าข้อนี้ไม่น่าแปลกใจเลย ด้วยความ "อยาก" หลายคนใช้เงิน 100% ของที่มี (และอีกหลายคนใช้มากกว่า 100% ด้วยซ้ำ) ถ้าตามภาษานักลงทุนต้องเรียกว่าไม่มี margin of safety เลย ถ้าคิดว่าตัวเองมีกำลังผ่อนได้เดือนละ 10,000 บาทจะซื้อรถที่ต้องผ่อน 10,000-13,000 บาท โดยคิด(ฝัน)เอาเองว่าเดี๋ยวค่อยไปประหยัดตรงนั้นตรงนี้เอาหรือเดี๋ยวค่อยหาเงินเพิ่มจากตรงนู้น นี่ยังไม่นับว่าถ้าเกิดมีเหตุฉุกเฉินต้องใช้เงินอย่างไม่สบายหรือตกงานอีกนะครับ ปรกติก็ใช้เงิน to the max อยู่แล้วนี่ยิ่งมีการกระตุ้นว่า "ถ้าไม่รีบซื้อปีนี้ไม่ได้ลดราคาแล้วนะ" ผมจึงคิดว่าสุขภาพการเงินของหลายๆคนที่ใช้สิทธิ์ไปไม่น่าจะสู้ดีนัก เรียกว่าต้องผ่อนกันแบบหืดขึ้นคอเลยทีเดียว

ด้วยเหตุผลเดียวกันกับข้างบน บริษัทที่ทำเรื่องสินเชื่อรถอาจต้องระวัง เพราะจำนวนหนี้ศูนย์อาจจะสูงขึ้นกว่าปรกติ นอกจากนี้เนื่องจากคนขยับมาซื้อรถในปี 2012 เป็นจำนวนมาก demand สินเชื่อเพื่อซื้อรถใหม่ในปีต่อๆไปอาจลดลงพอสมควร

บ้านและรถเป็นทรัพย์สินที่คนที่พึ่งเริ่มก่อร่างสร้างตัวต้องการ คนที่ใช้สิทธิ์รถคันแรกส่วนใหญ่ผมเชื่อว่าจัดอยู่ในกลุ่มคนพึ่งเริ่มทำงานที่ยังไม่มีทั้งบ้านทั้งรถ ส่วนใหญ่ถ้าไม่ได้เช่าบ้านอยู่ก็ยังอยู่กับคุณพ่อหรือคุณแม่ ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้ไม่มีกำลังพอที่จะดาวน์ทั้งบ้านและรถในเวลาใกล้ๆกัน ส่วนใหญ่ก็คงเลือกที่จะซื้อรถก่อนเพื่อที่จะให้ได้สิทธิ์ เพราะฉะนั้นอาจจะทำให้มีผลกระทบกับ demand สำหรับบ้านหรือ Condo ราคาถูกที่เน้นกลุ่มลูกค้าบ้านหลังแรกได้ในอนาคตอันใกล้

คนใช้ทางด่วนกันมากขึ้น นอกจากฐานลูกค้า (จำนวนรถบนท้องถนน) จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดแล้ว รถที่เพิ่มขึ้นก็น่าจะทำให้รถติดมากขึ้นไปอีก เพราะฉะนั้นสัดส่วนของคนที่ยอมจ่ายเงินเพื่อใช้ทางด่วนก็น่าจะเพิ่มขึ้นด้วย

จำนวนคนฟังวิทยุน่าจะเพิ่มขึ้น สิ่งแรกที่ทุกคนทำเมื่อขึ้นรถมีสองอย่างก็คือเปิดแอร์กับเปิดวิทยุ ช่วงเวลา rush hour ตอนเช้ากับตอนเย็นจึงถือว่าเป็นช่วง prime time เลยทีเดียว ยิ่งตอนนี้รถน่าจะติดมากขึ้นทำให้นอกจากคนจะฟังวิทยุกันมากขึ้นแล้วยังต้องฟังนานขึ้นอีกด้วย แหม่ได้สองต่อจริงๆ

ที่ผมคิดได้คร่าวๆตอนนี้มีแค่นี้ครับ คนอื่นคิดยังไงกันบ้างเอามาแชร์กันได้เลยนะครับ