นี่เป็นคำถามที่หลายๆคนที่ยังใหม่อยู่กับตลาดหุ้นอาจสงสัย
ปรกติเวลาซื้อหุ้นนั้นเราจะต้องซื้ออย่างน้อยครั้งละ 100 หุ้น
(ยกเว้นถ้าราคาของหุ้นตัวนั้นสูงกว่า 500 ติดต่อกันมาเป็นเวลานานก็จะสามารถซื้อได้ทีละ 50 หุ้น)
สมมุติบริษัทๆหนึ่งมีหุ้นอยู่ทั้งหมด 1000 หุ้น
ตอนแรกราคาหุ้นละ 50 บาท ที่ราคานี้เวลาจะซื้อหุ้นบริษัทนี้เราจะต้องใช้เงินอย่างน้อยครั้งละ
5000 บาท (100 หุ้น)
ถ้าผ่านไปซักระยะหนึ่งธุรกิจของบริษัทนี้ไปได้ดีแล้วราคาหุ้นขึ้นไปเป็นหุ้นละ 400 บาท
ตอนนี้จะซื้อหุ้นบริษัทนี้ทีนึงต้องใช้เงินถึง 40,000 บาท
ซึ่งถือว่าเป็นเงินไม่น้อยสำหรับนักลงทุนรายย่อยหลายๆคน
เมื่อเงินที่ต้องใช้ซื้อขายแต่ละครั้งค่อนข้างสูงหลายๆคนอาจจะเลิกซื้อขายหุ้นตัวนี้แล้วหันไปลงทุนตัวอื่นทำให้สภาพคล่อง
(ปริมาณการซื้อขาย) ของหุ้นตัวนี้ลดลงอย่างมากซึ่งก็จะทำให้การซื้อขายลำบาก
จากเดิมที่บริษัทมีอยู่ทั้งหมด 1000 หุ้น
ที่ราคาพาร์ 10 บาท ตอนนี้ก็จะเป็น 10,000 หุ้นที่ราคาพาร์ 1 บาท
เพราะฉะนั้นตอนนี้ราคาตลาดของหุ้นก็ควรจะลดลงจากหุ้นละ 400
บาทเหลือหุ้นละ 40 บาท เพราะมีหุ้นมากกว่าเดิม 10 เท่า
จากเดิมที่แต่ละหุ้นเท่ากับการเป็นเจ้าของบริษัท 0.1%
ก็เหลือเพียงแค่ 0.01% สำหรับคนที่มีหุ้นอยู่แล้วก่อนแตกพาร์ก็จะได้จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้น 10 เท่า
(คือเป็นเจ้าของบริษัทในสัดส่วนที่เท่าเดิม)
พูดง่ายๆการแตกพาร์ก็คือการทำให้จำนวนเงินที่ต้องใช้ในการซื้อขายหุ้นแต่ละครั้งลดลงเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับหุ้นนั่นเอง
ข้อมูลนักลงทุน การเล่นหุ้นคืออะไร ??
ReplyDeletehttp://onlinemoneyusd.ws/Set-Index/SET-Index.html