ซื้อหุ้นที่ราคาไม่ขึ้นแล้วจะซื้อไปทำไมหล่ะ? แน่นอนทุกคนย่อมอยากจะเห็นการลงทุนของตัวเองงอกเงยเพิ่มขึ้นซึ่งก็รวมทั้งตัวผมด้วย และสิ่งที่เราสามารถมองเห็นได้ง่ายที่สุดที่เป็นการชี้วัดก็คือตัวเลขเขียวๆในพอร์ตของเรา แต่การที่จิตใจของเราจดจ่ออยู่กับราคาหุ้นมากเกินไปนั้นอาจส่งผลเสียกับชีวิตการลงทุนของเราได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ทั้งในการตัดสินใจซื้อขายหุ้นและความเครียดที่เกิดขึ้นเมื่อราคาหุ้นไม่ขึ้นหรือลงตามที่เราคาด
ถ้าทุกวันนี้คุณรู้สึกเครียดเมื่อราคาของหุ้นที่คุณมีอยู่ตก หรือคุณต้องเปิดดูราคาหุ้นทุกๆ 30 วินาทีแล้วต้องจ้องมองทั้ง ticker graph ราคา และ volume เพื่อพยามตีความหมายที่อาจซ่อนอยู่ในสิ่งเหล่านี้จนคุณรู้สึกปวดหัวและสับสน การลองเปลี่ยนมามองหาหุ้นที่เราลงทุนแล้วราคาตกไม่เป็นไร แทนที่จะพยามมองหาหุ้นที่ซื้อแล้วราคาจะขึ้นนั้น อาจทำให้คุณมีความสุขกับชีวิตการลงทุนมากขึ้นรวมถึงประสบความสำเร็จมากขึ้นด้วย
ปรกติผมจะเป็นคนที่ค่อนข้างมองโลกในแง่ร้าย เวลาจะลงทุนในบริษัทไหนผมจะคิดไว้เสมอว่าเดี๋ยวพอผมซื้อปุ้บราคาจะตกทันที และด้วยความโชคดีสุดๆของผมมันก็มักจะเป็นอย่างนั้นอยู่ทุกครั้ง เพราะอย่างนั้นก่อนที่ผมจะลงทุนในบริษัทไหนผมจะถามตัวเองก่อนว่าถ้าซื้อหุ้นแล้วพรุ่งนี้ราคาตกลงไป 50% ผมยังจะ happy อยู่ไหม หรือถ้าซื้อแล้วพรุ่งนี้ตลาดหุ้นถูกปิดอย่างไม่มีกำหนดแล้วผมจะเป็นเจ้าของบริษัทนี้ไปตลอดผมจะ happy ไหม เมื่อคิดอย่างนี้แล้วผลพลอยได้อย่างแรกที่ตามมาก็คือเราจะให้ความสำคัญกับตัวธุรกิจหรือ product ของบริษัทอย่างมาก ว่าเราต้องมีความมั่นใจในตัวบริษัทและอนาคตของบริษัทที่เราจะลงทุนจริงๆ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ควรจะทำอยู่แล้วแต่หลายๆครั้งเราอาจโดนสีเขียวๆแดงๆของราคาทำให้ไขว้เขว ไม่ใช่ว่าราคาที่เราซื้อจะไม่มีความสำคัญนะครับแต่มันไม่ใช่ปัจจัยหลักในการตัดสินใจ หลังจากที่เจอบริษัทที่เราอยากเป็นเจ้าของแล้วค่อยมาดูว่าเราพอใจที่จะซื้อมาที่ราคาเท่าไหร่ซึ่งไม่จำเป็นต้องถูกมากก็ได้ แค่เป็นราคาที่เราคิดว่ายุติธรรม
ปรกติผมจะเป็นคนที่ค่อนข้างมองโลกในแง่ร้าย เวลาจะลงทุนในบริษัทไหนผมจะคิดไว้เสมอว่าเดี๋ยวพอผมซื้อปุ้บราคาจะตกทันที และด้วยความโชคดีสุดๆของผมมันก็มักจะเป็นอย่างนั้นอยู่ทุกครั้ง เพราะอย่างนั้นก่อนที่ผมจะลงทุนในบริษัทไหนผมจะถามตัวเองก่อนว่าถ้าซื้อหุ้นแล้วพรุ่งนี้ราคาตกลงไป 50% ผมยังจะ happy อยู่ไหม หรือถ้าซื้อแล้วพรุ่งนี้ตลาดหุ้นถูกปิดอย่างไม่มีกำหนดแล้วผมจะเป็นเจ้าของบริษัทนี้ไปตลอดผมจะ happy ไหม เมื่อคิดอย่างนี้แล้วผลพลอยได้อย่างแรกที่ตามมาก็คือเราจะให้ความสำคัญกับตัวธุรกิจหรือ product ของบริษัทอย่างมาก ว่าเราต้องมีความมั่นใจในตัวบริษัทและอนาคตของบริษัทที่เราจะลงทุนจริงๆ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ควรจะทำอยู่แล้วแต่หลายๆครั้งเราอาจโดนสีเขียวๆแดงๆของราคาทำให้ไขว้เขว ไม่ใช่ว่าราคาที่เราซื้อจะไม่มีความสำคัญนะครับแต่มันไม่ใช่ปัจจัยหลักในการตัดสินใจ หลังจากที่เจอบริษัทที่เราอยากเป็นเจ้าของแล้วค่อยมาดูว่าเราพอใจที่จะซื้อมาที่ราคาเท่าไหร่ซึ่งไม่จำเป็นต้องถูกมากก็ได้ แค่เป็นราคาที่เราคิดว่ายุติธรรม
ผลพลอยได้อีกอย่างก็คือเราจะสามารถถือหุ้นได้อย่างสบายใจมากขึ้น เพราะเราได้ธุรกิจที่เราต้องการมาในราคาที่เราพอใจแล้ว อันนี้คล้ายกับเวลาที่ผมอยากได้ของชิ้นหนึ่ง ยกตัวอย่างสมมุติผมอยากได้รองเท้าคู่หนึ่งที่ผมคิดว่าใส่สบายมาก ตอนที่พึ่งออกมาใหม่ราคาอาจจะอยู่ที่ 5,000 บาท ผมอาจจะคิดว่าราคานี้ไม่คุ้มกับความสบายที่จะได้มายอมใส่คู่เก่าขาดๆไปก่อนก็ได้ ผ่านไปสักพักราคาอาจลดมาเหลือ 3,000 บาทซึ่งผมคิดว่าเป็นราคาที่สมเหตุสมผล ผมจึงซื้อมาใส่แล้วก็พอใจกับมันมาก ทีนี้ผ่านไปอีกซักพักมีเพื่อนมาบอกว่า "ดูซิฉันพึ่งไปงาน super sale ซื้อคู่เดียวกับนายมาแค่ 1,500 บาทเอง" ผมคงไม่รู้สึกแย่เท่าไหร่เพราะผมก็พอใจกับราคาที่ผมได้มาแล้วก็คงยินดีกับเพื่อนที่ได้มาในราคาที่คุ้มค่า แต่ถ้าผมมัวแต่รอก็ไม่รู้มาจะมีงาน super sale รึเปล่าและถ้ามีก็ไม่รู้ว่าจะยังมี size ของผมเหลืออยู่รึเปล่า
สุดท้ายแล้วอันนี้ก็เป็นเพียงแค่ mindset หรือแง่คิดในการลงทุนอันหนึ่งเท่านั้นนะครับ ซึ่งถ้าใครอยากลองเอาไปใช้ดูก็ได้ครับ (เพราะผมไม่ขอรับผิดชอบใดๆทั้งสิ้นกับความเสียหายที่อาจตามมาในการลงทุนของท่าน :p )
ขอบคุณมากค่ะ
ReplyDelete