สมมุติว่าคุณเปิดร้านขายของกับหุ้นส่วนอีกหนึ่งคน
โดยที่คุณสองคนมีหุ้นกันคนละครึ่ง สิ่งที่คุณจะคิดถึงทุกเช้าที่คุณตื่นขึ้นมาทำธุรกิจก็คงจะเกี่ยวกับว่า
ยอดขายตอนนี้เป็นยังไง ช่วงนี้กำไรเท่าไหร่ขายดีไหม คุณคงจะไม่ได้ตื่นขึ้นมาทุกเช้าแล้วคิดว่า
“ถ้าเราขายร้านเราวันนี้เราจะได้ราคาเท่าไหร่นะ” แต่ในทางกลับกันถ้าคุณลงทุนในหุ้น
หลายๆคนจะตื่นขึ้นมาทุกวันแล้วก็มีความคิดจดจ้องอยู่กับว่าวันนี้ราคาหุ้นของตัวเองอยู่ที่เท่าไหร่
และแน่นอนถ้าราคาหุ้นที่ซื้อขายกันอยู่ตอนนี้ต่ำกว่าราคาที่ตัวเองซื้อมาก็จะเกิดความเครียดขึ้น
“รู้หยั่งงี้รอมาซื้อตอนนี้ดีกว่าถูกว่าตั้งเยอะ” หรือ “โอพระเจ้าตอนนี้ขาดทุนไปตั้ง…แล้ว”
แต่ถ้าเราลองเปลี่ยนความคิดดูว่าเราไม่ได้มี
“หุ้น” แต่เราเป็นเจ้าของบริษัทแล้วล่ะก็
การคิดอย่างนี้อาจจะช่วยลดความเครียดที่เกิดขึ้นจากการขึ้นลงของราคาหุ้นได้เยอะเลยทีเดียว
เพราะสมมุติว่าเรามีหุ้นอยู่ในบริษัทหนึ่ง 1% หรือพูดง่ายๆว่าเราเป็นเจ้าของบริษัทนั้นอยู่
1% ถึงราคาหุ้นที่ซื้อขายกันอยู่จะเพิ่มขึ้น 2 เท่า
หรือลดลงครึ่งนึงเราก็ยังเป็นเจ้าของบริษัทนั้นอยู่ 1% เหมือนเดิมเราเอาเวลาไปสนใจผลการดำเนินงานของบริษัทเราดีกว่า
ไม่ต้องไปสนใจว่าคนอื่นเขาจะอยากได้บริษัทของเราในราคาเท่าไหร่ เพราะอย่างในกรณีที่คุณมีร้านขายของกับหุ้นส่วน
สมมุติว่าคุณลงทุนไปคนละหนึ่งแสนบาท(ทั้งหมดสองแสนบาท)แล้วร้านคุณขายได้กำไรเดือนละหนึ่งแสนบาท
แล้วอยู่ดีๆมีคนเดินเข้ามาแล้วจะขอซื้อร้านของคุณทั้งหมดในราคาสองหมื่นบาท
คุณคงจะไม่เครียดแล้วคิดว่า “โอไม่ ราคาร้านเราลดลงไปสิบเท่าจากตอนที่ลงทุนไป”
แต่คุณคงจะคิดว่า
“ฝันไปเถอะ ไม่ต้องมาหลอกซื้อกันให้ยากหรอก” ก่อนที่จะไล่คนๆนั้นออกจากร้านของคุณไป
เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปเครียดมากกับราคาหุ้นที่ขึ้นๆลงๆของเราหรอกครับ
เอาเวลาไปคอยดูผลดำเนินงานของกิจการเราดีกว่า
ป.ล.
แต่ถ้าผลดำเนินงานออกมาแล้วยอดขายกับผลกำไรลดลงไปสิบเท่าก็ตัวใครตัวมันครับ
No comments:
Post a Comment