Tuesday, July 23, 2013

Dairy Queen ยิ่งซื้อขนาดใหญ่ยิ่งแพง???

โพสนี้จะไม่ค่อยเกี่ยวกับหุ้นเท่าไหร่นะครับ ถึงแม้ว่าหุ้น MINT (Minor Group) จะมีธุรกิจที่ผมชอบและสนใจอยู่หลายอย่างซึ่งผมก็ติดตามธุรกิจเหล่านี้คร่าวๆอยู่เรื่อยๆ แต่เหตุผลที่ผมยังไม่ได้ตัดสินใจจะลงทุนในหุ้น MINT นั้นผมคงจะไม่ได้พูดถึงในโพสนี้ แต่วันนี้ผมอยากจะพูดถึง Dairy Queen ซึ่งเป็นบริษัทหนึ่งในเครือของ MINT ครับ (ซึ่งผมก็ชอบไปอุดหนุนอยู่บ่อยๆ)


วันก่อนผมกับเพื่อนเกิดอยากกินไอศครีม Blizzard ขึ้นมาก็เลยแวะไปที่ Dairy Queen ในห้างใกล้ๆ ตอนไปถึงก็คิดอยู่กับเพื่อนว่าเอเราจะซื้อขนาดใหญ่มาแบ่งกันหรือซื้ออันเล็กกินกันคนละอันดี คือจริงๆแล้วอยากกินกันคนละรสด้วยแต่คิดว่าถ้าซื้อแก้วใหญ่น่าจะคุ้มค่ากว่า แต่ปรากฏว่าพอลองมองดูราคาและปริมาณที่ได้ของแต่ละขนาดแล้ว!!!!! อะไรกันนี่!!!

ปรกติการตั้งราคาของร้านค้าและร้านอาหารทั่วไปถ้ายิ่งซื้อขนาดที่ใหญ่ขึ้นก็จะได้ความคุ้มค่าที่มากขึ้น (เพื่อส่งเสริมให้ลูกค้าซื้อเยอะขึ้น) แต่อย่างที่เห็นจากราคาข้างบน เอทำไมยิ่งซื้อขนาดใหญ่ขึ้นยิ่งได้ความคุ้มค่าน้อยลง 

ขนาดเล็กราคา 30 บาทได้ 6.5oz 
ขนาดใหญ่ราคา 59 บาท ได้แค่ 12oz 
ถ้าซื้อขนาดเล็ก 2 อัน ราคา 60 บาท แต่ได้ตั้ง 13oz แพงกว่าแค่ 1 บาท (1.7%) แต่ได้มากกว่าตั้ง 8.3% แถมยังเลือกกินได้ 2 รส (จริงๆวันนั้นขนาดเล็กลดเหลือ 29 บาทด้วย)

หรือถ้าเพิ่มจากขนาดเล็กไปขนาดกลาง เพิ่มเงิน 9 บาท (30%) แต่ได้เพิ่มมาแค่ 1.5oz หรือ 23%

หรือถ้าซื้อขนาดกลาง 2 อัน ราคา 78 บาท ได้ 16oz ซึ่งปริมาณเท่ากับขนาด Take Away ที่ราคา 79 บาท

ผมก็เลยงงเล็กน้อยครับว่าทำไมยิ่งซื้อขนาดใหญ่ความคุ้มค่ายิ่งลดลง ผมคิดว่าน่าจะมีเหตุผลอะไรบางอย่างนะครับถ้าใครทราบจะขอบคุณมากเลยครับเพราะยังสงสัยอยู่ ไม่แน่ใจว่าแก้วขนาดใหญ่แพงกว่ามากรึเปล่า แต่ก็ไม่น่าใช่เพราะคนซื้อขนาดเล็กสองอันก็ต้องเปลืองช้อน กระดาษเช็ดมือสองอัน ยิ่งน่าจะแพงกว่าด้วยซ้ำ แถมเวลาที่ใช้ทำก็ยิ่งนานเป็นสองเท่า


Tuesday, July 16, 2013

หุ้น อิชิตัน Ichitan (ICHI) น่าลงทุนไหม ธุรกิจเป็นยังไง

อีกสักพักบริษัท อิชิตัน ก็จะมีการทำ IPO เข้าตลาดหุ้นภายใต้ตัวย่อ ICHI (ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง) ถ้าผมจำไม่ผิดเห็นคุณตันเคยบอกไว้ว่าน่าจะเป็นวันที่ 11/12/2013 ซึ่งก็เหลืออีกไม่ถึงครึ่งปี วันนี้ก็เลยอยากจะพูดถึงบริษัทนี้เล็กน้อยจากข้อมูลต่างๆที่ผมได้สัมผัสมา คงจะเป็นการพูดถึงคร่าวๆที่ไม่ได้ลงรายละเอียดทางตัวเลขนะครับเพราะตอนนี้คงยังจะเร็วเกินไป

ก่อนอื่นผมได้ฟังสัมภาษณ์ของคุณตันที่พูดถึงเหตุผลที่จะเอาบริษัท อิชิตัน เข้าตลาดหุ้น เห็นเขาบอกมาสามอย่างหลักๆ อย่างแรกคือเอาเงินไปใช้หนี้ธนาคารเพื่อจะได้ลดค่าใช้จ่ายทางด้านดอกเบี้ยที่มีอยู่ตอนนี้ ซึ่ง ณ ตอนนี้น่าจะเป็นปีแรกที่บริษัทกลับมามีกำไร ถ้าไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยบริษัทน่าจะมีกำไรมากขึ้นอีก ซึ่งจุดนี้ก็เป็นเหตุผลที่เข้าใจได้ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นเหตุผลที่นักลงทุนอาจจะได้ยินมากที่สุด เพราะการใช้หนี้ดอกเบี้ยนั้นเป็นแค่ One Time Gain คือสมมุติตอนนี้ต้องจ่ายดอกเบี้ยอยู่ปีละ 20 ล้านบาทก็จะไม่ต้องจ่ายแล้วแต่มันก็จบอยู่แค่นั้นไม่ได้เป็นการลงทุนที่งอกเงยขึ้นเรื่อยๆ

อย่างที่สองคุณตันบอกว่า "อาจจะ" ซื้อเครื่องจักรเพิ่ม ซึ่งตอนสร้างโรงงานคุณตันบอกว่าได้เผื่อพื้นที่สำหรับลงเครื่องจักรเพิ่มเอาไว้แล้ว ถ้าเอาเงินไปลงตรงนี้จริงๆเพราะว่าตอนนี้ขายดีจนเกินกำลังการผลิตก็คงจะเป็นสิ่งที่นักลงทุนทุกคนต้องการ แต่ฟังจากน้ำเสียงและการพูดของคุณตันแล้วดูเหมือนตรงนี้จะไม่ใช่เหตุผลหลัก

เหตุผลสุดท้าย และอาจจะเป็นเหตุผลที่น่ากังวลที่สุดสำหรับนักลงทุนคือเมื่อคุณตันพูดว่า "ผมยืมเงินภรรยามา 2,000 ล้าน มาลงที่บริษัท อิชิตัน ก็ต้องเอาเงินไปคืนภรรยาด้วย" อืมอันนี้ความหมายตรงๆเหมือนจะเป็น "ผมลงเงินไป 2,000 ล้านก็จะขอถอนทุนคืน" ซึ่งผมก็แปลกใจที่เขาพูดออกมาค่อนข้างตรงๆแบบนี้ หรืออาจเห็นว่าเมื่อเข้าตลาดหุ้นแล้วตัวเลขการเงินออกมายังไงทุกคนก็ต้องเห็นอยู่ดี ซึ่งผมก็ไม่โทษคุณตันหรอกที่ทำแบบนี้ ถ้าผมเองเป็นเจ้าของบริษัทที่อยู่ในธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงมากและยังไม่รู้ว่าบริษัทของเราท้ายที่สุดแล้วจะเป็นผู้ชนะหรือเปล่า ผมก็คงจำกัดความเสี่ยงโดยการ Cash In บางส่วนก่อนแล้วก็เก็บหุ้นไว้อีกส่วนหนึ่ง ทีนี้ถึงบริษัทจะแพ้คู่แข่งเราเองก็ยังได้เงินคืนมาแล้ว ส่วนถ้าบริษัทชนะเราก็ยังเป็นเจ้าของอยู่ส่วนหนึ่ง เรียกว่า Win Win แต่ในฐานะของนักลงทุนธรรมดาคงต้องมองความเสี่ยงต่างกัน เพราะถ้าบริษัทเจ๊งเราก็จะไม่เหลืออะไรเลย


ทีนี้มาดูในส่วนของธุรกิจของอิชิตันกันบ้าง ผมเชื่อว่าทุกๆคนก็คงคุ้นเคยกับธุรกิจของเขาในระดับนึง พูดง่ายๆก็คือโออิชิทำอะไรอิชิตันก็ทำตรงนั้นแหละโดยที่พยามจะทำให้ดีกว่าเหมือนกับว่ามีความแค้นส่วนตัวกันมาก่อน (เอหรือว่าจะมี)

ส่วนแรกแน่นอนก็คือฝ่ายเครื่องดื่มซึ่งต้องบอกว่าตอนนี้มาแรงจริงๆ ยอดขายเรียกว่าขึ้นมาเทียบกับโออิชิได้อย่างรวดเร็ว และตอนนี้ด้วย Promotion แรงๆเห็นคุณตันบอกว่าจากที่เคยมีขายอยู่ใน 40% ของร้านค้าทั้งหมดตอนนี้เพิ่มขึ้นมาเป็น 70% กว่าแล้วซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับบริษัท แต่สำหรับนักลงทุนอาจจะต้องดูว่าถ้าตอนนี้มีขายอยู่ใน 70% กว่าของร้านค้าแล้วจะเหลือพื้นที่ให้โตไปได้อีกแค่ไหน ถ้าโตจากพื้นที่การขายไม่ได้แล้วก็ต้องโตโดยแย่ง Market Share จากแบรนด์อื่นๆ ซึ่ง ณ ตอนนี้ที่อิชิตันมี Promotion แรงขนาดนี้และกระแสของตัวคุณตันก็ดี ลูกค้าที่ยังไม่ยอมดื่มอิชิตันอีกก็ไม่รู้ว่าจะมาเลือกดื่มตอนไหน เพราะฉะนั้นจากนี้ Market Share จะโตได้อีกแค่ไหนก็อาจจะต้องดูดีๆ

ในขณะที่ฝ่ายเครื่องดื่มเป็นพระเอก ฝ่ายร้านอาหารของอิชิตันตอนนี้ยังไม่โดดเด่นเท่าไหร่ และตอนนี้ยังมีอยู่ไม่กี่สาขา ถ้าใครเคยไปกินร้านอาหารของอิชิตันคงจะทราบว่าก็เป็นเหมือนของโออิชิ คือเป็นบุฟเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่น แต่เหมือนคุณตันจะพยายามทำให้ดีกว่าในราคาที่เท่าๆหรือถูกกว่า  คือของจะใช้ดีกว่าหน่อย อาหารก็ไม่ต้องเดินไปตักเองแต่จะเป็นแบบสั่งเอาแล้วทำกันสดๆหมด ซึ่งผมก็เคยไปกินมาสองสามครั้งก็รู้สึกชอบมากกว่าร้านของโออิชิ และที่สำคัญขายดีมากทุกสาขา ผมจึงแปลกใจมากเมื่อได้พูดคุยกับเพื่อนที่ทำงานอยู่ในฝ่ายนี้ว่ากำไรแค่พออยู่ได้แต่ก็เหนื่อย (อันนี้คำพูดของเขา) คือในร้านอาหารแบบนี้ Margin ก็จะค่อนข้างน้อยอยู่แล้ว แต่เนื่องจากพยายามจะทำให้ดีกว่าของโออิชิจึงทำให้ Margin น้อยเข้าไปอีก และปัญหาที่ตามมาก็คือไม่สามารถจ้างพนักงานเยอะเกินไปเพราะจะทำให้ไม่คุ้ม และเนื่องจากร้านจะทำทุกอย่างสดๆบวกกับเป็นแบบสั่ง คือพนักงานจะต้องเอาของไปเสริฟทุกอย่าง จึงทำให้งานโหลดมาก ทั้งพนักงานเสริฟและคนทำอาหาร (เห็นบอกว่าปั้นซูชิกันจนมือหงิก)

ถ้ามองในแง่ดีก็อาจจะมองได้ว่าฝ่ายร้านอาหารยังมีโอกาสโตได้อีกเยอะ ถ้าจัดระบบให้ได้เข้าที่เข้าทางกว่านี้เพื่อให้ได้ Margin ที่ดีขึ้น และก็ยังเหลือพื้นที่ให้ขยายได้อีกเยอะเพราะตอนนี้ยังมีอยู่ไม่กี่สาขา แต่สำหรับผมตลาดธุรกิจร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อสี่ห้าปีก่อนแล้ว ตัวเลือกและราคาจากร้านอื่นๆมีมากมาย ขนาดร้านของโออิชิเองที่อยู่ตามที่ต่างๆก็ไม่ได้ขายดีเท่าไหร่ การที่ร้านอิชิตันจะขยายได้อย่างประสบความสำเร็จนั้นไม่ใช่ง่ายและคู่แข่งหลักก็คงไม่ใช่จากร้านของโออิชิซะด้วย

แต่ความเสี่ยงสูงสุดของการลงทุนใน Ichitan นั้นผมมองว่ามาจากตัวของคุณตันเอง การที่แบรนด์ของบริษัทถูกผูกติดไว้มากกับตัวคุณตันนั้นเป็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน ต้องยอมรับว่า ณ ตอนนี้หลายๆคนที่อุดหนุนอิชิตันและเปลี่ยนจากดื่มโออิชิมาดื่มอิชิตันเป็นเพราะความชื่นชอบในตัวคุณตัน เรียกว่าการทำมาร์เก็ตติ้งนั้นโปรโมทตัวคุณตันพอๆกับโปรโมทแบรนด์อิชิตันเลย ซึ่งถ้าวันไหนวันหนึ่งเกิดมีข่าวอะไรที่กระทบกับภาพลักษณ์ของคุณตัน หรือเขาพลาดไปทำอะไรที่ทำให้เสียภาพพจน์แล้วล่ะก็ ธุรกิจอาจได้รับความเสียหายอย่างมากเพียงชั่วข้ามคืน ซึ่งเราก็เคยเห็นมาแล้วกับผู้มีชื่อเสียงหลายๆคน บวกกับที่ผ่านมาการที่ใช้วิธีมาร์เก็ตติ้งแบบนี้ก็ทำให้มีคน "หมั่นไส้" คุณตันไม่น้อยอยู่เหมือนกันซึ่งคนเหล่านี้ก็คงพร้อมซ้ำเติมอยู่แล้วถ้าเกิดอะไรแบบนี้ขึ้นมา