Saturday, October 13, 2012

ซื้อหุ้นนักร้องต้องติดตามผลงาน

ทุกคนอาจสงสัยว่า "หุ้นนักร้อง" นั้นคืออะไร เป็นบริษัทเพลงเหรอ? จริงๆแล้วมันเป็นแค่ชื่อที่ผมใช้เรียกเล่นๆสำหรับบริษัทที่ผมรู้สึกว่าวงจรของธุรกิจนั้นคล้ายกับวงจรชีวิตของนักร้องหรือวงดนตรีมาก โดยรายได้ของบริษัทที่ว่าเหล่านี้ขึ้นอยู่กับความสำเร็จของ product ที่ต้องออกมาใหม่เรื่อยๆอย่างมาก

ถ้าเราลองดูอาชีพของนักร้องจะเห็นได้ว่าความดังและยอดขายนั้นขึ้นอยู่กับเพลงที่ออกมา โดยที่นักร้องต้องคอยออกเพลงใหม่ๆมาตลอด โดยเพลงที่ออกมาน่าจะแบ่งออกได้เป็นสามแบบ

1. อย่างแรกคือเพลงที่ hit สุดๆ ทำให้นักร้องดังระเบิด ขายดีแบบรายได้พุ่งกระฉูด เปิดวิทยุช่องไหนก็ได้ยินแต่เพลงนี้

2. แบบที่สองเป็น filler เพลงที่เพราะใช้ได้หรืออาจจะไม่แปลกใหม่จากเพลงก่อนๆเท่าไหร่ แต่ที่ขายดีใช้ได้ก็เพราะอาศัยความดังจากเพลงแรก เพลงแบบนี้พอทำให้นักร้องอยู่ในกระแสต่อไปได้จนกว่าจะทำเพลง hit อันต่อไปได้ แต่ถ้ายิ่งออกแต่ filler ติดต่อกันมากเท่าไหร่ความดังและยอดขายก็จะลดลงเรื่อยๆจนหายดังไปในที่สุด

3. แบบสุดท้ายพูดง่ายๆก็คือเพลงแป้กไม่มีใครชอบเลย แน่นอนอันนี้ย่อมมีผลกระทบกับยอดขายและความดังอย่างมาก ถ้าออกมาตอนยังดังมากอยู่ก็อาจจะพอแก้ใขได้โดยการรีบออกเพลงที่ดีกว่านี้ตามมา แต่ถ้าออกเพลงแป้กมาสองอันติดกันก็อาจจะเปลี่ยนจากดังสุดๆเป็นไม่มีใครรู้จักเลยได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน

ผมคิดว่าถ้าจะลองยกตัวอย่าง Apple ถือได้ว่าเป็นบริษัทหนึ่งที่อยู่ในประเภทนี้ ยอดขายและรายได้หลักของ Apple นั้นขึ้นอยู่กับความสำเร็จของ Product ที่ต้องออก Product ที่ดีออกมาเรื่อยๆ เพราะสินค้าแต่ละอย่างของ Apple นั้นแทบจะทั้งหมดเป็นแบบซื้อครั้งเดียวแล้วจบกัน ครั้งต่อไปที่คนจะซื้อนั้นก็คงเป็นตอนที่เขาต้องการจะ upgrade ซึ่งตอนนั้นเขาก็สามารถเลือกใหม่ได้ว่าของๆบริษัทไหนดีที่สุด แน่นอนการที่ Apple เคยออก Product ดีมากๆในอดีตมาย่อมสร้างใบบุญให้คนมีโอกาสเลือกสินค้าของเขามากขึ้น แต่มันก็มี limit ของมันอยู่

ในความรู้สึกผมการกลับมายิ่งใหญ่ของ Apple ในรอบสิบปีหลังเขาได้ออกเพลง hit มาสองเพลง อันแรกก็คือ iPod และอันที่สองก็คือ iPhone ทั้งสองล้วนเป็น Product ที่ตอนออกมานั้นต้องนับว่าเป็น game changer จริงๆ เรียกได้ว่าถ้าคุณต้องการ mp3 player หรือ โทรศัพท์แบบนี้คุณก็ไม่มีตัวเลือกอื่นเลย แน่นอนมันจึงทำให้ยอดขายและรายได้ของ Apple เพิ่มขึ้นอย่างมากในเวลาอันรวดเร็วตอนที่สินค้าสองตัวนี้ออกมา

แน่นอนหลังจากสินค้าสองตัวนี้ออกมา Apple ก็ได้ออก version ใหม่มาเรื่อยๆโดยค่อยๆ upgrade ความสามารถและ design ทีละน้อย สำหรับผมแล้ว version ใหม่ๆเหล่านี้เปรียบเป็นแค่เพียงเพลง filler เท่านั้น ที่ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่หรือดีขึ้นมากแต่ก็ขายได้เพราะ Concept ของมันวางมาดีตั้งแต่ตอนมันออกมาครั้งแรกแล้ว แต่ยิ่งเวลาผ่านไปนานมากเท่าไหร่คู่แข่งต่างๆก็ยิ่งทำ Product ที่ดีใกล้เคียงกับของ Apple ได้มากขึ้น และไม่ช้าก็เร็วถ้า Apple ยังไม่มี Game Changer อันใหม่ของตัวเองออกมาคนอื่นก็ต้องมี Game Changer ของเขา ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นยอดขายที่เราเห็นว่าเยอะอยู่ตอนนี้อาจหายไปได้เกือบทั้งหมดในเวลาอันรวดเร็ว

จริงๆผมรู้สึกว่าการลงทุนในบริษัทที่ชีวิตแขวนอยู่บนความสำเร็จของ Product Line เดียวหรือสองสาม Line นั้นก็เป็นทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวมันเอง ข้อดีก็คือเราอาจจะมองภาพว่ากิจการจะดีหรือไม่ดีได้ง่ายหน่อย เราแค่เทียบสินค้าหลักของบริษัทนั้นแล้วเทียบกับคู่แข่งในตลาดซึ่งมันเป็นอะไรที่ทุกคนน่าจะทำได้ไม่ยาก ถ้าเรารู้สึกว่า Product ของบริษัทนี้มันดีกว่าของคนอื่นๆมากๆ ราคาก็สมเหตุสมผล ทุกคนที่เรารู้จักซื้อมาใช้หรืออยากได้หมดเลย เราก็น่าจะรู้แล้วหล่ะว่าอนาคตบริษัทนี้น่าจะสดใส

ข้อเสียก็คือเราอาจจะต้องคอยติดตามและคอยลุ้นทุกๆครั้งที่บริษัทเราหรือคู่แข่งทำ Product อันใหม่ออกมาว่ามันจะดีหรือไม่ดี แต่ที่ผมมั่นใจอย่างหนึ่งเลยก็คือไม่มีใครทำเพลง hit ออกมาได้ตลอดหรอก ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องมีเพลงที่ไม่ติดตลาด

เวลาพูดถึง Apple และผลกระทบจากการจากไปของ Steve Jobs คนส่วนใหญ่จะถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายแรกจะบอกว่า Steve ไม่อยู่แล้ว Apple แย่แน่เพราะจะขาดคนที่มีวิสัยทัศน์ในการทำ Product ใหม่ออกมา อีกฝ่ายคิดว่าไม่น่าจะมีผลมากเพราะยังมีคนที่มีวิสัยทัศน์เหลืออยู่ใน Apple อีกเยอะ แต่ผมกลับคิดอีกแบบหนึ่ง ผมคิดว่าการจากไปของ Steve Jobs ไม่มีผลมากเท่าไหร่เพราะต่อให้เขาอยู่ก็ไม่มีทางที่ Apple จะสามารถทำ Product ที่เป็น Game Changer ออกมาได้เรื่อยๆหรอก ไม่ช้าหรือเร็วก็ต้องมี Product ใหม่หรือรุ่นใหม่ที่ไม่โดนใจผู้บริโภคหรือไม่ก็ต้องมีบริษัทอื่นที่ทำ Product Line ใหม่อะไรซักอย่างออกมาที่ทำให้สินค้าหลักของ Apple ดูด้อยไป และแน่นอนเมื่อนั้นรายได้ของ Apple ต้องได้รับผลกระทบค่อนข้างหนักยิ่งถ้า Apple ยังพึ่งพา Product แค่หนึ่งหรือสองตัวอยู่ เมื่อถึงตอนนั้นนักลงทุนคงต้องตัดสินใจว่าจะถอนหุ้นออกมาก่อน หรือถือต่อไปเพราะเชื่อว่าบริษัทจะสามารถแก้เกมส์ได้ แต่ถ้าดูจากอดีตแล้วจะพบว่าหลายๆบริษัทที่เจออย่างนี้ไม่สามารถกลับมาได้หรือกว่าจะกลับมาได้ก็ใช้เวลาค่อนข้างนานมากๆเลยทีเดียวอย่างที่ Apple เองก็เคยเจอมาแล้ว