Friday, December 23, 2011

ข้อคิดในการเล่นหุ้นไม่ให้เครียด (จนเกินไป)


สมมุติว่าคุณเปิดร้านขายของกับหุ้นส่วนอีกหนึ่งคน โดยที่คุณสองคนมีหุ้นกันคนละครึ่ง สิ่งที่คุณจะคิดถึงทุกเช้าที่คุณตื่นขึ้นมาทำธุรกิจก็คงจะเกี่ยวกับว่า ยอดขายตอนนี้เป็นยังไง ช่วงนี้กำไรเท่าไหร่ขายดีไหม คุณคงจะไม่ได้ตื่นขึ้นมาทุกเช้าแล้วคิดว่า ถ้าเราขายร้านเราวันนี้เราจะได้ราคาเท่าไหร่นะแต่ในทางกลับกันถ้าคุณลงทุนในหุ้น หลายๆคนจะตื่นขึ้นมาทุกวันแล้วก็มีความคิดจดจ้องอยู่กับว่าวันนี้ราคาหุ้นของตัวเองอยู่ที่เท่าไหร่ และแน่นอนถ้าราคาหุ้นที่ซื้อขายกันอยู่ตอนนี้ต่ำกว่าราคาที่ตัวเองซื้อมาก็จะเกิดความเครียดขึ้น รู้หยั่งงี้รอมาซื้อตอนนี้ดีกว่าถูกว่าตั้งเยอะหรือ โอพระเจ้าตอนนี้ขาดทุนไปตั้งแล้ว

แต่ถ้าเราลองเปลี่ยนความคิดดูว่าเราไม่ได้มี หุ้นแต่เราเป็นเจ้าของบริษัทแล้วล่ะก็ การคิดอย่างนี้อาจจะช่วยลดความเครียดที่เกิดขึ้นจากการขึ้นลงของราคาหุ้นได้เยอะเลยทีเดียว เพราะสมมุติว่าเรามีหุ้นอยู่ในบริษัทหนึ่ง 1% หรือพูดง่ายๆว่าเราเป็นเจ้าของบริษัทนั้นอยู่ 1% ถึงราคาหุ้นที่ซื้อขายกันอยู่จะเพิ่มขึ้น 2 เท่า หรือลดลงครึ่งนึงเราก็ยังเป็นเจ้าของบริษัทนั้นอยู่ 1% เหมือนเดิมเราเอาเวลาไปสนใจผลการดำเนินงานของบริษัทเราดีกว่า ไม่ต้องไปสนใจว่าคนอื่นเขาจะอยากได้บริษัทของเราในราคาเท่าไหร่ เพราะอย่างในกรณีที่คุณมีร้านขายของกับหุ้นส่วน สมมุติว่าคุณลงทุนไปคนละหนึ่งแสนบาท(ทั้งหมดสองแสนบาท)แล้วร้านคุณขายได้กำไรเดือนละหนึ่งแสนบาท แล้วอยู่ดีๆมีคนเดินเข้ามาแล้วจะขอซื้อร้านของคุณทั้งหมดในราคาสองหมื่นบาท คุณคงจะไม่เครียดแล้วคิดว่า โอไม่ ราคาร้านเราลดลงไปสิบเท่าจากตอนที่ลงทุนไปแต่คุณคงจะคิดว่า ฝันไปเถอะ ไม่ต้องมาหลอกซื้อกันให้ยากหรอกก่อนที่จะไล่คนๆนั้นออกจากร้านของคุณไป เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปเครียดมากกับราคาหุ้นที่ขึ้นๆลงๆของเราหรอกครับ เอาเวลาไปคอยดูผลดำเนินงานของกิจการเราดีกว่า

.. แต่ถ้าผลดำเนินงานออกมาแล้วยอดขายกับผลกำไรลดลงไปสิบเท่าก็ตัวใครตัวมันครับ

Tuesday, December 13, 2011

ถ้าจะซื้อหุ้นเพิ่มตอนนี้รอเดือนมกราคมน่าจะได้ราคาที่ดีกว่า


ถ้าตอนนี้คุณกำลังคิดอยู่ว่าอยากจะซื้อหุ้นตัวที่เล็งไว้หรือซื้อเพิ่มตัวที่มีอยู่แล้ว แล้วหุ้นตัวนั้นปรกติขึ้นลงค่อนข้างจะตามไปกับตัว SET index ถ้ารอไปซื้อช่วงมกราคมน่าจะมีโอกาสพอสมควรที่จะได้ราคาที่ดีกว่านี้

นั่นก็เพราะว่าที่ผ่านมาในอดีตนั้นใกล้ๆก่อนถึงช่วง Christmas หรือปีใหม่ ราคาหุ้นมักจะมีการขยับตัวขึ้นหรือที่ฝรั่งเรียกกันว่า Santa Claus Rally และเมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมาก็ได้เห็นการขยับตัวขึ้นที่แรงพอสมควรสำหรับ SET index ซึ่งก็ต้องบอกว่าเป็นการขยับขึ้นที่ตามไปกับดัชนีของตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกที่ขึ้นกันเกือบหมด แล้วก็ไม่ได้ขึ้นโดยที่มีปัจจัยพื้นฐานอะไรที่น่าจะทำให้หุ้นขึ้นกันได้มากขนาดนั้น

เพราะฉะนั้นก็มีโอกาสมากพอสมควรเลยที่ในเดือนมกราคมจะมีช่วงที่ราคาหุ้นจะตกกลับลงไปเหมือนที่เคยเป็นมาในอดีต(แหมหยั่งกับ after New Year sale) ซึ่งถ้าตอนนั้นราคาหุ้นตกโดยที่ไม่มีเหตุผลจากปัจจัยพื้นฐานอีกก็น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ดีในการที่จะซื้อหุ้นที่เล็งไว้ในตอนนี้ในราคาที่ถูกกว่า

Friday, December 9, 2011

ซื้อหุ้นง่ายกว่าเซ้งร้านก๋วยเตี๋ยว ใครก็ทำได้

ผมเชื่อว่าหลายคนต้องเคยมีความสนใจที่จะลงทุนในหุ้นอยู่บ้างไม่มากก็น้อย เพื่อที่จะซื้อส่วนความเป็นเจ้าของในบริษัทใหญ่ๆสักบริษัทนึง แต่แค่พอคิดว่าจะเริ่มตรงไหนดีก็ท้อแล้ว ตัวย่อ PTT SCC CPF อะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด ไหนยังจะมี PE ROE EPS อะไรอีก เลิก เลิก เลิก
แต่ในทางกลับกันก็อาจเคยมีความคิดที่จะเป็นเจ้าของธุรกิจเล็กๆ อย่างไปเซ้งร้านก๋วยเตี๋ยวหรือร้านกาแฟมาสักร้าน ซึ่งในความรู้สึกแล้วดูมันน่าจะซับซ้อนน้อยกว่ากันเยอะ ดูเหมือนจะเข้าใจอะไรได้ง่ายกว่า แต่ผมอยากจะบอกว่าจริงๆแล้วถ้าคุณมีทักษะที่จะสามารถวิเคราะห์ได้ว่าร้านก๋วยเตี๋ยวหรือร้านกาแฟไหนน่าเซ้งหรือไม่น่าเซ้ง ทักษะที่ใช้ในการวิเคราะห์หุ้นนั้นก็ไม่ได้ต่างกัน เผลอๆการวิเคราะห์ว่าหุ้นไหนน่าซื้อไม่น่าซื้อจะง่ายกว่าด้วยซ้ำ


อย่างแรกเลยที่ทุกคนคงอยากจะรู้เวลาที่จะเข้าไปเซ้งธุรกิจและอาจจะคิดก็คือ ถ้าขายดีแล้วเขาจะเซ้งทำไม จากประสบการณ์ของผมเองและเชื่อว่าคนอื่นคงเคยเจอมาเหมือนกัน ถ้าถามกับผู้ให้เซ้ง 1% จะตอบว่า ไม่มีเวลาดูแลอีก 99% จะตอบว่า จะไปต่างประเทศ คนนู้นก็ไปต่างประเทศคนนี้ก็ไปต่างประเทศจนผมเริ่มสงสัยว่า เอประเทศไทยยังมีคนเหลืออยู่ได้ยังไงเนี่ยถ้าพูดกันจริงๆ 99.9% ของเหตุผลที่เซ้งก็น่าจะเป็นเพราะว่าร้านที่ทำอยู่ขายไม่ค่อยดีนั่นเอง เพราะฉะนั้นแค่เราเริ่มต้นจะไปเซ้งก็เหนื่อยแล้ว เพราะเราต้องไป Turn Around ธุรกิจอีก
ในทางกลับกันการที่บริษัทเข้ามาขายหุ้น (หรือส่วนความเป็นเจ้าของ) ในตลาดหลักทรัพย์ก็เพื่อการหาทุนไปขยายกิจการ งบดุลต่างๆก็ต้องถูกตรวจสอบ เพราะฉะนั้นโอกาสที่บริษัทจะเอาธุกิจที่กำลังไปไม่รอดมาขายก็จะน้อยกว่า(แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย) อีกอย่างเมื่อบริษัทขายหุ้นจำนวนที่ต้องการจะขายหมดแล้ว หุ้นที่เหลือนั้นก็จะเป็นการขายกันเองระหว่างบุคคลทั่วไปโดยที่ทางบริษัทเองไม่มีส่วนได้ส่วนเสียด้วย ยกเว้นถ้าบริษัทหรือผู้บริหารจะขายหรือซื้อหุ้นเพิ่มเอง ซึ่งในกรณีนั้นก็ต้องมีการรายงานให้ทุกคนได้รู้

อย่างที่สองที่ทุกคนอยากจะรู้เวลาจะไปเซ้งร้านก็คงจะเป็นยอดขาย หลายๆครั้งที่ผมถามผู้ให้เซ้งก็มักจะได้คำตอบที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย อย่างเช่นประกาศเซ้งร้านอยู่ที่ 150,000 บาท แต่บอกว่าขายได้กำไรเดือนละ 50,000 บาท โอ้โหสามเดือนคืนทุนสุดยอดจริงๆ รายได้ดีขนาดนี้ผมจะปล่อยเซ้งไหมเนี่ย หรือถ้าเซ้งผมก็คงจะไม่ปล่อยที่ราคานี้ แต่ถึงเขาบอกราคาที่ฟังดูสมเหตุสมผลกว่านี้มันก็ไม่มีทางที่เราจะรู้ได้ว่าจริงๆแล้วรายได้เขาอยู่ที่เท่าไหร่ จริงๆเขาอาจจะขาดทุนอยู่ทุกเดือนก็ได้
แต่ถ้าคุณสนใจหุ้นของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ คุณสามารถเข้าไปดูงบการเงินของบริษัทนั้นได้อย่างละเอียดถี่ยิบ รายได้รายจ่ายเท่าไหร่ เงินมาจากไหน กำไรขาดทุนแค่ไหน โดยเป็นงบที่ผ่านการตรวจสอบมาเรียบร้อย ถึงงบดุลจะแต่งกันได้เหมือนกัน แต่ก็น่าเชื่อถือกว่าคำบอกกล่าวปากเปล่าของผู้ที่กำลังจะเซ้งกิจการให้เรามาก

แค่นี้ก็เริ่มเห็นได้แล้วว่าจริงๆแล้ว การจะตัดสินใจว่าหุ้นตัวไหนน่าสนใจหรือไม่นั้นง่ายกว่าการตัดสินใจว่าร้านก๋วยเตี๋ยวไหนน่าเซ้งไม่น่าเซ้งตั้งเยอะ เพราะถ้าคิดซะว่าการซื้อหุ้นก็เหมือนการเซ้งร้าน ข้อมูลที่เราต้องใช้ในการตัดสินใจนั้นหาง่ายกว่าเยอะเลย แค่เข้าไปที่ settrade.com ก็จะมีข้อมูลของหุ้นทั้งหมด ถ้าเราดูที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด เราก็จะรู้ว่า ณ ราคาหุ้นตอนนี้ถ้าซื้อทั้งบริษัทจะราคาเท่าไหร่ จากนั้นเราก็สามารถไปดูได้ว่าบริษัทมีรายได้เท่าไหร่ได้กำไรเท่าไหร่และมีหนี้สินเท่าไหร่ แค่นี้เราก็พอรู้คร่าวๆแล้วว่าหุ้นบริษัทนี้น่าลงทุนรึเปล่า ถ้าบริษัทมีมูลค่าแค่ 1,000 ล้านบาท แต่ 3 ปีที่ผ่านมากำไรปีละ 500 ล้านบาท และไม่มีหนี้สิน แค่นี้ก็น่าจะพอดูออกแล้วว่าบริษัทนี้มีความน่าสนใจ จากนั้นเราค่อยหาข้อมูลที่ละเอียดยิ่งขึ้นเกี่ยวกับบริษัทนั้นๆ

เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือว่าการลงทุนในหุ้นดูเผินๆแล้วอาจจะดูเหมือนยากและซับซ้อนแต่จริงๆแล้วใครก็ทำได้ ข้อมูลทุกอย่างที่ต้องการในการตัดสินใจมีเผยแพร่อยู่ทั่วไปเพียงแต่คุณอาจต้องขยันทำการบ้านหน่อยในการอ่านงบดุลต่างๆเพื่อหามัน แต่เมื่อได้ข้อมูลมาแล้วผมเชื่อว่าใครก็สามารถวิเคราะห์ได้ว่าอะไรน่าลงทุน
และเหตุผลที่คุณควรจะเริ่มตั้งแต่วันนี้ก็เพราะว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการลงทุนในหุ้นก็คือเวลา เวลาที่จะรอให้บริษัทที่เราลงทุนงอกเงยเหมือนต้นไม้ที่เราปลูกไว้ เพราะถ้าคุณมัวแต่รอ พอมาถึงวันนึงคุณค้นพบว่าการซื้อหุ้นไม่ได้ยากอย่างที่คิดคุณอาจจะต้องมาพูดกับตัวเองว่า รู้งี้เราเริ่มไปตั้งนานแล้ว

ปล. ข้อดีอีกข้อหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นข้อดีมากๆในการลงทุนในหุ้น ก็คือคุณไม่ต้องมาห่วงมาเครียดกับการบริหารงาน ไม่ต้องมาปวดหัวกับพนักงาน ไม่ต้องมาปวดหัวกับลูกค้า และเรื่องชวนเครียดอื่นๆอีกมากมาย

Thursday, December 8, 2011

นักวิเคราะห์หุ้นเชื่อได้แค่ไหน


หลายๆคนที่ลงทุนในหุ้นก็คงมีแหล่งที่ตัวเองใช้หาข้อมูลที่แตกต่างกันไป แต่ผมเชื่อว่าสำหรับหลายๆคน หนึ่งในนั้นก็คือการอ่าน ฟัง หรือดูบทวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญหุ้นท่านต่างๆ สำหรับคนที่ลงทุนมานานก็คงใช้วิจารณญาณในการเสพข้อมูลพวกนี้ หรือไม่ก็ดูแบบขำๆ แต่สำหรับหลายๆคนที่อาจจะพึ่งเข้ามาลงทุนและยังรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ค่อยมีความรู้ทางด้านนี้ก็อาจจะพึ่งพาคำวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ โดยที่ลงทุนตามการวิเคราะห์เกือบ 100% และสุดท้ายก็อาจขาดทุนจนเจ็บหนักไปตามๆกัน บางคนยังมีทุนเหลือก็ได้แก้ตัวใหม่โดนมีบทเรียนที่แสนเจ็บปวด แต่บางคนโชคไม่ดีอาจถึงกับต้องออกจากตลาดไปเลย

ในบทความนี้ผมคงจะไม่พูดเจาะจงถึงบุคคลหรือบทวิเคราะห์ไหนว่าอันไหนน่าเชื่อถือหรือไม่นะครับ แต่ผมจะพูดรวมๆว่าการที่เราจะใช้ข้อมูลจากแหล่งไหนนั้น เราควรจะคำนึงถึงอะไรบ้าง

อย่างแรกเลยเราควรจะดูสไตล์การลงทุนของผู้วิเคราะห์ก่อนว่าเขาลงทุนแบบไหน ไม่ใช่ว่าเขาลงทุนแบบ เก็งกำไร technical หรือ day trade แล้วเขาบอกว่าหุ้นตัวนี้ตอนนี้น่าเข้า แต่เราชอบลงทุนแบบถือเก็บยาวแล้วไปซื้อตามเขา แบบนี้ผ่านไปสองสามวันหุ้นขึ้นไปนิดหน่อยเขาอาจจะขายทำกำไรไปแล้ว แต่เรามาเปิดดู port ตัวเองอีกสองเดือนอาจถึงขั้นเป็นลมเพราะราคาลงไปเหลือ 50% อย่างนี้จะไปโทษเขาก็ไม่ได้เพราะเขาก็วิเคราะห์ถูกของเขาในการลงทุนแบบของเขา

อีกอย่างที่เราควรดูคือนักวิเคราะห์เป็นใคร ทำงานอะไร หรือให้ใคร ที่ดูนี่ไม่ใช่เพื่อที่จะดูว่าเขาเก่งรึเปล่าน่าจะวิเคราะห์ถูกรึเปล่านะครับ แต่ดูเพื่อจะรู้ว่าผลประโยชน์ของเขานั้นอยู่ตรงไหน หลายๆครั้งเราจะเห็นว่านักวิเคราะห์นั้นทำงานให้กับบริษัท Broker, Bank หรือกองทุนที่ลงทุนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์เองด้วย ในกรณีนี้มีโอกาสสูงมากที่ผลประโยชน์ของเขาจะขัดกับผลประโยชน์ของคุณ เพราะสมมุติว่าเขามีหุ้นอยู่ในบริษัทๆหนึ่งที่เขาเริ่มรู้สึกแล้วว่ามันจะไม่ค่อยดีและเขาต้องการจะขายหุ้น มันคงจะไม่เป็นผลดีกับเขาเองถ้าเขาจะออกมาบอกว่าบริษัทนี้ไม่ดีแล้วนะพื้นฐานเปลี่ยน มันจะดีกับเขาซะด้วยซ้ำถ้าเขาจะออกมาเชียหุ้นตัวนั้นว่าดีเพื่อที่เขาจะขายได้ราคาแพงๆ จริงๆเรื่องแบบนี้ก็มีให้เห็นอยู่เรื่อยๆนะครับ จนคนที่ลงทุนมานานเห็นเป็นเรื่องตลกไปแล้ว เวลาที่นักวิเคราะห์เชียร์ให้คนอื่นซื้อแต่ตัวเอง Net Sell

อันที่สามที่ต้องดูก็คือความจริงจังและความระเอียดของการวิเคราะห์ครั้งนั้นๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่บางครั้งก็ชอบดูรายการทีวีหรือฟังรายการวิทยุเกี่ยวกับการลงทุน แต่เราต้องอย่าลืมนะครับว่าสื่อพวกนี้ไม่มากก็น้อยก็ยังต้องทำหน้าที่การให้ความบันเทิงและความน่าสนใจให้กับคนดู เขามีเวลาออกอากาศอยู่ ก็ต้องคอยหาเนื้อหามาออกทุกๆวัน ด้วยข้อจำกัดของเวลาคงจะไม่มีใครสามารถสร้างสรรค์เนื้อหาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพทางวิชาการได้ตลอด ยิ่งเดี๋ยวนี้จะเห็นว่ารายการส่วนใหญ่จะมีช่วงที่ให้คนดูทางบ้านโทรศัพท์ หรือ sms เข้ามาถามหุ้นเด็ดเอ้ยหุ้นต่างๆว่าตัวไหนน่าลงทุนบ้างหรือไม่ก็มีหุ้นตัวนี้อยู่ควรจะทำอะไรต่อไปดี ซึ่งนักวิเคราะห์ก็จะมีเวลาแค่ประมาณหนึ่งนาทีเพื่อที่จะคิดและตอบคำถามต่างๆเหล่านี้ คุณก็คงต้องคิดดูแล้วล่ะครับว่าคุณจะฝากความหวังของเงินลงทุนของคุณทั้งหมดไว้กับคำแนะนำเหล่านี้รึเปล่า

สุดท้ายนี้ผมว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดเลยที่ผมพยายามจะบอกก็คือว่าไม่มีบทวิเคราะห์ไหนจะดีหรือระเอียดเท่าบทวิเคราะห์ของตัวคุณเองแล้วล่ะครับ เพราะคุณมั่นใจได้เลยว่าจะไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ และคงจะไม่มีใครตั้งใจวิเคราะห์การลงทุนของคุณเท่ากับตัวคุณเอง เพราะเป็นตัวคุณเองที่จะขาดทุนหรือกำไร

เพราะฉะนั้นการอ่านบทความเกี่ยวกับการลงทุนทุกครั้งควรใช้วิจารณญาณอย่างสูง (โดยเฉพาะบทความใน stupidstocktrader นะครับอิๆ)